6 วิธีดูแลตัวเองช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง สุขภาพแข็งแรง สู้ได้ทุกสภาพอากาศ

     แต่ละฤดูกาลย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่เมื่อไหร่ที่ฤดูกาลเปลี่ยนแปลง หลายคนก็มีแนวโน้มที่จะป่วย โรคที่มาในช่วงเปลี่ยนฤดูกาล คงไม่พ้นโรคหวัด เป็นไข้ น้ำมูกไหล เจ็บคอ และโรคอื่นๆ โดยเฉพาะโรคระบาด ซึ่งแน่นอนว่าเราจำเป็นที่จะต้องดูแลตัวเองให้แข็งแรงเพื่อที่จะได้รับมือกับทุกสภาพอากาศโดยไม่เจ็บป่วย

     การดูแลตัวเองในช่วงอากาศเปลี่ยนนั้นไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย แต่ควรเน้นไปที่การกินเพื่อสุขภาพและการออกกำลังกายเป็นประจำจนเป็นนิสัย ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้สามารถทำให้เราห่างไกลจากความเจ็บป่วยได้ การใช้ชีวิตให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มอายุใด ก็สามารถทำให้เราผ่านช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงไปได้แบบสบาย ๆ 

ปรึกษาปัญหาสุขภาพ กับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ ผ่านแอป MorDee คลิกรับส่วนลดเลย!

     แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ยังมีเคล็ดลับดูแลตัวเองในช่วงอากาศเปลี่ยนมาให้ได้ทำตามกัน เพราะการป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา หากเราปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้ ก็จะช่วยให้เราผ่านช่วงที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไปได้พร้อมกับการมีสุขภาพดี

6 วิธีดูแลตัวเองช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง

1. ดื่มน้ำมากๆ

     เริ่มต้นและสิ้นสุดในทุก ๆ วันด้วยการดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอ ในตอนเช้าเราสามารถดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา เพื่อช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกาย และในระหว่างวันก็ควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 - 3 ลิตร เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ 

2. พักผ่อนให้เพียงพอ

     การนอนหลับสนิทเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่หลายคนมักจะมองข้ามไปหรือนอนหลับได้ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าฤดูกาลจะเปลี่ยนอย่างไร เราทุกคนก็ควรนอนให้ได้คืนละ 8 ชั่วโมง และคุณภาพของการนอนหลับก็มีความสำคัญต่อทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจด้วยเช่นกัน หัวใจและหลอดเลือดแดงจะได้รับการซ่อมแซมและฟื้นฟูในขณะที่นอนหลับ กล้ามเนื้อที่เราใช้ตลอดทั้งวันก็จำเป็นจะต้องได้รับการซ่อมแซมในช่วงที่เราพักผ่อนด้วย นอกจากนี้ การนอนหลับยังสำคัญต่อการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เมื่อคุณนอนหลับไม่เพียงพอ ความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับการติดเชื้อจะลดลง และความสามารถของร่างกายในการต่อสู้กับการติดเชื้อจะลดลงด้วย 

3. รักษาความสะอาด

     การรักษาสุขอนามัยที่เหมาะสมในช่วงเปลี่ยนฤดูเป็นสิ่งที่ควรให้ความใส่ใจ เช่น การล้างมือก่อนและหลังมื้ออาหาร การอาบน้ำหลังการออกกำลังกาย หรือแม้แต่การเข้าห้องน้ำก็ควรระวังเรื่องความสะอาดเช่นกัน เพราะคนส่วนใหญ่ก็สามารถป่วยและติดเชื้อโรคได้มากมายจากการเข้าห้องน้ำเพียงแค่ครั้งเดียว

4. เพิ่มการบริโภคโพรไบโอติกส์

     โพรไบโอติกส์เป็นจุลินทรีย์ในลำไส้ที่มีชีวิตและเป็นมิตรซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ การเพิ่มการรับประทานโพรไบโอติกส์สามารถช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันซึ่งส่งผลให้โอกาสในการเจ็บป่วยลดลง ลองรับประทานโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยว กิมจิ ถั่วนัตโตะก็ได้ อาหารเหล่านี้ล้วนเป็นแหล่งโพรไบโอติกส์ชั้นเยี่ยมที่ช่วยป้องกันโรคหวัดและภูมิแพ้ได้

5. ชาสมุนไพร

     คนส่วนใหญ่มักจะดื่มกาแฟโดยเฉพาะในตอนเช้า แต่กาแฟก็ไม่ได้ดีต่อสุขภาพอย่างที่คิด ดังนั้นลองเพิ่มชาสมุนไพรอย่างน้อยวันละ 1 ถ้วย ก็จะช่วยให้สุขภาพดีขึ้นได้ เพราะชาสมุนไพรต่าง ๆ เช่น ชาขิง ชาเขียว มีส่วนในการช่วยลดคอเลสเตอรอล ลดอาการอักเสบ ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียและไวรัส และชาสมุนไพรบางประเภทอย่างชาคาร์โมมายล์ ก็สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพในการนอนหลับได้ 

6. ใช้เครื่องฟอกอากาศ

     ในปัจจุบันอากาศมีมลพิษมากขึ้น และตอนนี้คุณภาพอากาศก็อยู่ในขั้นอันตราย แม้ว่าเราจะไม่สามารถทำอะไรได้มากนักเกี่ยวกับคุณภาพอากาศภายนอกอาคาร แต่เมื่อไหร่ที่ออกนอกบ้าน เราก็ควรสวมหน้ากากเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาต่อสุขภาพทางเดินหายใจ และควรตรวจสอบให้แน่ใจด้วยว่าอากาศภายในบ้านนั้นสะอาดมากเพียงพอหรือยัง โดยเราอาจใช้เครื่องฟอกอากาศ หรือเพิ่มพืชในร่มสัก 2 - 3 ชนิดที่เป็นพืชช่วยฟอกอากาศตามธรรมชาติก็ได้

บทความที่คุณอาจสนใจ

• 5 วิธีแก้อาการคัดจมูก หายใจไม่ออก เป็นหวัดช่วงหน้าฝน
• เป็นหวัดห้ามกินอะไร 5 อาหารและเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยงตอนเป็นหวัด