ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก อาการต่างกันอย่างไร รู้ให้ทัน โรคฮิตหน้าฝน
พูดถึงโรคฮิตหน้าฝนที่ระบาดหนักๆ คงไม้พ้นโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอย่าง ไข้หวัดใหญ่ กับ ไข้เลือดออก ซึ่งเป็นโรคที่มากับยุง ด้วยอาการที่คล้ายกันทำให้หลายคนแยกไม่ออกว่า ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก อาการต่างกันอย่างไร และตัวเองหรือคนใกล้ชิดป่วยเป็นอะไรกันแน่ วันนี้เราจะแจกแจงความต่างของ 2 โรคนี้กันค่า เพราะการรู้ให้ทันโรค รักษาให้ถูกวิธี ใช้ยาให้เหมาะกับโรคจะช่วยลดทอนอันตราย และช่วยให้หายไวขึ้น มาทำความรู้จักกับ 2 โรคขาประจำหน้าฝนกันดีกว่า
โรคไข้หวัดใหญ่
สาเหตุของโรคไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจ โรคนี้เป็นโรคติดต่อจากคนสู่คน โดยผ่านการสัมผัสละอองฝอยการไอ จามของผู้ป่วย สำหรับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตัวที่ระบาดเกินหน้าเกินตาเชื้อตัวอื่นทุกหน้าฝนคือ เชื้อไวรัส H1N1 และ H3N2 ซึ่งเป็นซัปไทด์สายพันธุ์ A คนที่ติดเชื้อสายพันธุ์นี้จะมีอาการรุนแรงกว่า คนที่เป็นไข้หวัดใหญ่ที่เกิดจากเชื้อไวรัส Victoria และ Yamagata ซึ่งเป็นสายพันธุ์ B
อาการไข้หวัดใหญ่
หลังได้รับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ไปแล้ว เชื้อจะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 1-4 วันจึงแสดงอาการป่วย ซึ่งเราสามารถสังเกตได้จากอาการข้างล่างนี้ค่า
- มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง เบื่ออาหาร
- ปวดศีรษะ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว แขน ขา และข้อ
- เจ็บคอ ไอแห้งๆ
- คัดจมูก จาม น้ำมูกไหล
- คลื่นไส้ ในบางรายอาจมีอาการท้องเสีย อาเจียนร่วมด้วย
- ไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียส ติดกันประมาณ 2-4 วัน แล้วค่อยๆ ลดลง
ในบางรายที่มีอาการรุนแรงอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน อาจนำไปสู่โรคหลอดลมอักเสบ ปอดบวม เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ และเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
โรคไข้เลือดออก
สาเหตุของโรคไข้เลือดออก
ไข้เลือดออกเป็นอีกโรคที่ระบาดหนักมากในช่วงหน้าฝน และมีคนเสียชีวิตจากโรคนี้ทุกปี ส่วนสาเหตุของโรคเกิดจากยุงลายที่เป็นพาหะของเชื้อไวรัส Dengue กัด และเชื้อไวรัสชนิดนี้มีกัน 4 สายพันธุ์คือ DEN1, DEN2, DEN3, DEN4 ค่ะ หากใครเคยเป็นไข้เลือดออกจากเชื้อ DEN1 หลังหายป่วยก็จะมีภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้ไปตลอดชีวิต สำหรับสายพันธุ์อื่นจะมีภูมิคุ้มกันอยู่ประมาณ 6-12 เดือนเท่านั้น และใครที่เป็นไข้เลือดออกครั้งที่สอง แล้วมีอาการรุนแรงกว่าการป่วยครั้งแรก นั่นเพราะเกิดจากไวรัสคนละสายพันธุ์กันค่ะ
อาการไข้เลือดออก
หลังเราได้รับเชื้อไวรัส เค้าจะเข้าไปฟักตัวในร่างกายเราประมาณ 8-12 วัน จึงแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดค่ะ ตอนนี้เรามาดูกันว่าไข้เลือดออกมีอาการอย่างไร จะได้รับมือทันและดูแลได้อย่างถูกต้อง และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นตามมาภายหลัง
- ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดกระดูก ปวดกระบอกตา
- มีไข้สูงลอยเฉียบพลันประมาณ 2-7 วัน (ไข้สูงลอยคือ อาการที่อุณหภูมิร่างกายสูงตลอด 24 ชั่วโมง อาจมีการลดต่ำของอุณหภูมิบ้างจะไม่เกิน 1 องศา)
- คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร
- มีอาการปวดท้อง กดเจ็บบริเวณชายโครงขวา
- อ่อนเพลีย ซึม
- หน้าแดง มีจุดเลือดหรือจ้ำเลือดตามร่างกาย บางรายมีเลือดออกตามไรฟัน หรือมีเลือดกำเดาไหล
- ปัสสาวะมีสีเข้ม อุจจาระมีสีดำ
ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอาการจะเข้าสู่ภาวะช็อก ไข้จะลดลงอย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยจะกระสับกระส่าย ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำ ปลายมือปลายเท้าเย็น ฯลฯ
เช็กเลย! ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก ต่างกันอย่างไร
ในแต่ละปีมีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่และไข้เลือดออกเป็นจำนวนหลายหมื่นคน นอกจากการเฝ้าระวังแล้ว การสังเกตอาการของโรค ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยดูแลรักษาได้ทันท่วงที สามารถบรรเทาความรุนแรงของโรคลงได้ไม่น้อย แม้อาการหลายๆ อย่างของไข้หวัดใหญ่กับไข้เลือดออกคล้ายกันมาก แต่เราสามารถเช็กความแตกต่างของ 2 โรคนี้ได้ไม่ยากค่ะ ซึ่งแตกต่างอย่างไรไปดูกัน
- ไข้เลือดออกจะมีไข้สูงลอยเฉียบพลันประมาณ 2-7 วันแล้วลดลงอย่างรวดเร็ว ส่วนไข้หวัดใหญ่จะมีไข้สูงติดกันหลายวัน ทั้งมีอาการหนาวสั่น
- ไข้เลือดออกไม่มีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ถ้ามีก็เพียงเล็กน้อย แต่ไข้หวัดใหญ่จะมีอาการเจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม
- ไข้หวัดใหญ่ไม่มีอาการกดเจ็บบริเวณชายโครงขวาเหมือนไข้เลือดออก
- ไข้เลือดออกมีจุดเลือดหรือจ้ำเลือดตามร่างกาย แต่ไข้หวัดใหญ่ไม่มีอาการนี้
บทความที่คุณอาจสนใจ