5 วิธีดูแลตัวเอง จาก ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B รับมือทัน! ฉบับเข้าใจง่าย

ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่เราต้องเผชิญในทุกฤดูกาล และหนึ่งในสายพันธุ์ที่พบบ่อยไม่แพ้ สายพันธุ์ A คือ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B (Influenza B) แม้ว่าอาการโดยรวมจะคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ทั่วไป แต่มักก่อให้เกิดการระบาดที่รุนแรงได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและวัยเรียน
การรู้เท่าทัน และ รู้วิธีดูแลตัวเองที่ถูกต้อง จะช่วยให้คุณกลับมาหายใจได้โล่งและรู้สึกดีขึ้น วันนี้เราจึงได้รวบรวมข้อมูลสำคัญ และ วิธีดูแลตัวเองอย่างง่าย เมื่อคุณหรือคนในครอบครัว ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B มาฝากกันค่ะ
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B คืออะไร?
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B เป็นหนึ่งในสายพันธุ์หลักที่ทำให้เกิดโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล (Seasonal Flu) ซึ่งแตกต่างจากสายพันธุ์ A ตรงที่ สายพันธุ์ B จะแพร่ระบาดในมนุษย์เป็นหลัก และมักพบการระบาดใน กลุ่มเด็กเล็กและวัยเรียน
อาการเด่นที่ต้องสังเกต
อาการของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B มักเกิดขึ้นอย่าง รวดเร็วและรุนแรง ต่างจากไข้หวัดธรรมดา
- ไข้สูงเฉียบพลัน : อุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 38 องศา พร้อมอาการหนาวสั่น
- ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ : มีอาการปวดตามข้อต่อและกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย อย่างมาก
- อาการทางระบบทางเดินหายใจ : เจ็บคอ ไอแห้งๆ คัดจมูก และอ่อนเพลีย
- อาการทางเดินอาหาร : ในเด็กเล็กอาจพบอาการอาเจียนหรือท้องเสียร่วมด้วยได้
5 วิธีดูแลตัวเอง เน้นฟื้นฟูเร็ว
หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วและลดการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
1. พักผ่อนให้เต็มที่ และ "หยุดแพร่เชื้อ"
นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ควรหยุดเรียนหรือหยุดงานอย่างน้อย 5-7 วัน นับจากวันที่เริ่มมีอาการ เพื่อให้ร่างกายต่อสู้กับไวรัสอย่างเต็มที่ และป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น การฝืนทำงานอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้
2. ดื่มน้ำและของเหลวให้มาก (เน้นเกลือแร่)
เมื่อมีไข้ ร่างกายจะสูญเสียน้ำอย่างรวดเร็ว การดื่มน้ำเปล่า หรือน้ำเกลือแร่ (ORS) จะช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำ ลดอาการอ่อนเพลีย และช่วยให้เสมหะอ่อนตัวลง ไม่ข้นเหนียว
3. การใช้ยาบรรเทาอาการที่จำเป็น
- ยาลดไข้/แก้ปวด : ใช้ยา พาราเซตามอล (Paracetamol) เท่านั้นตามปริมาณที่แนะนำ เพื่อลดไข้และบรรเทาอาการปวดเมื่อย สำคัญ: ห้ามใช้ยาแอสไพริน (Aspirin) ในเด็กเด็ดขาด
- ยาต้านไวรัส : หากคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยง อาทิ ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หรือผู้มีโรคประจำตัว แพทย์อาจให้ยาต้านไวรัส เช่น Oseltamivir ซึ่งต้องเริ่มให้ เร็วที่สุดภายใน 48 ชั่วโมงแรก เพื่อให้ได้ผลสูงสุด
4. จัดการอาการไอ เจ็บคอ และคัดจมูก
- น้ำอุ่นผสมน้ำผึ้ง : ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ
- สูดไอน้ำอุ่น : การสูดไอน้ำจากน้ำร้อนในชาม หรือการอาบน้ำอุ่นจัดๆ ช่วยทำให้เมือกที่คั่งในโพรงไซนัสและจมูกอ่อนตัวลงและระบายออกได้ง่ายขึ้น
5. สังเกตอาการ "อันตราย" ที่ต้องรีบพบแพทย์
แม้ไข้หวัดใหญ่ส่วนใหญ่จะหายเองได้ แต่ต้องเฝ้าระวังสัญญาณเหล่านี้
- หายใจลำบาก หรือหายใจถี่
- เจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอกรุนแรง
- อาการไข้สูงไม่ลดลง เกิน 2-3 วัน
- มีอาการอ่อนเพลีย หรือสับสนผิดปกติ
- อาการดีขึ้นแล้วกลับมาแย่ลงอีก อาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ
และวิธีการป้องกันที่ดีที่สุดคือการ ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ เป็นประจำทุกปีนะคะ ซึ่งจะครอบคลุมเชื้อสายพันธุ์ B เพื่อลดความรุนแรงและโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายค่ะ
บทความที่คุณอาจสนใจ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้![]()
สิทธิประโยชน์แนะนำ
