8 ช่วงเวลาที่ควรดื่มน้ำมากที่สุด ช่วยลดน้ำหนักและบำรุงสุขภาพ
การดื่มน้ำเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ ทุกคนก็ต้องดื่มกันทุกวัน แต่ถึงแม้จะเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องทำทุกวัน ก็ต้องบอกว่าจริงๆ แล้วการดื่มน้ำมีความสำคัญต่อชีวิตมากๆ เลยค่ะ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วหลายๆ คนมักจะดื่มน้ำน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ แล้วร่างกายต้องการน้ำดื่มวันละประมาณเท่าไหร่? ถ้าให้คํานวณแบบง่ายๆ ก็คือน้ำหนักตัว x 33 ค่ะ แต่ถ้าขี้เกียจคิดวุ่นวายก็ประมาณไปเลยก็ได้ว่าใน 1 วัน ร่างกายต้องการน้ำไม่ควรน้อยกว่า 2000 CC ค่ะ ซึ่งปริมาณนี้สำหรับคนสุขภาพปกติที่ไม่จำเป็นต้องควบคุมน้ำและไม่ได้เป็นโรคไตนะคะ การดื่มน้ำมีความสำคัญต่อชีวิตมากๆ เพราะในร่างกายของเรานั้นมีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ถึงประมาณ 70% ในเลือดมีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ 92% รวมถึงน้ำยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย การดื่มน้ำได้เพียงพอต่อวันรวมถึงดื่มน้ำได้ถูกเวลา จะช่วยทำให้สุขภาพของเราดีขึ้น
เมื่อร่างกายขาดน้ำจะทำให้เราเกิดความเครียด ปากแห้งคอแห้ง เวียนหัว รวมไปจนถึงมีอาการเป็นลมหน้ามืดได้ ยิ่งถ้าเรามีโรคประจำตัวอยู่ด้วย ก็จะเป็นการเร่งให้แย่ไปกว่าเดิมได้ค่ะ เพราะฉะนั้นเราจึงควรเตือนตัวเองให้ดื่มน้ำให้ได้ตามปริมาณที่ร่างกายต้องการ แต่นอกจากจะต้องดื่มน้ำให้ได้ตามปริมาณแล้ว ช่วงเวลาในการดื่มน้ำก็สำคัญค่ะ ลองมาดูกันว่าช่วงเวลาในการดื่มน้ำนั้นสำคัญอย่างไร และเวลาไหนบ้างที่เราควรดื่มน้ำค่ะ
8 ช่วงเวลาที่ควรดื่มน้ำมากที่สุด
1. หลังตื่นนอน
ทำไมช่วงเวลาหลังตื่นนอน เราควรดื่มน้ำ ... นั่นก็เพราะว่าตลอดหลายชั่วโมงที่เรานอนหลับมา เราไม่ได้ดื่มน้ำเลย ร่างกายขาดน้ำพอสมควรค่ะ ซึ่งเมื่อเราตื่นขึ้นมาแล้วเราจึงควรดื่มน้ำค่ะ รวมถึงเมื่อเราดื่มน้ำหลังตื่นนอนแล้วก็จะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นขึ้น อาการง่วง มึนๆ เวียนหัว ก็จะค่อยๆ หายไป ทำให้เราสดชื่น กระปรี้กระเปร่าค่ะ และการดื่มน้ำหลังตื่นนอนทันทีก็จะช่วยให้ร่างกายปรับสมดุลด้วยค่ะ
2. หลังออกกำลังกาย
ถ้าเราออกกำลังกายเป็นระยะเวลานาน เช่น การวิ่ง ไม่ว่าจะครึ่งชั่วโมง, 45 นาทีหรือไปจนถึง 1 ชั่วโมง เราแนะนำให้จิบน้ำตลอดการออกกำลังกายค่ะ ไม่จำเป็นที่จะต้องรอให้รู้สึกกระหายก่อนแล้วค่อยดื่มน้ำ เพราะหากเกิดอาการกระหายน้ำแปลว่าร่างกายได้ขาดน้ำแล้ว ซึ่งจะทำให้เราหน้ามืดเป็นลมตอนที่เราออกกำลังกายก็ได้ค่ะ รวมไปถึงอาจจะทำให้สมรรถภาพตอนออกกำลังกายลดลงได้ด้วย เพราะฉะนั้นแนะนำให้จิบน้ำเรื่อยๆ ขณะออกกำลังกาย จะช่วยให้เราออกกำลังกายได้นานขึ้น และหลังออกกำลังกายก็ควรดื่มน้ำอีก เพื่อให้ร่างกายสดชื่น ไม่หน้ามืดวิงเวียน ไม่เป็นลมและไม่มีอาการวูบค่ะ
3. ก่อนรับประทานอาหาร
การดื่มน้ำก่อนการรับประทานอาหารประมาณครึ่งชั่วโมง เป็นเหมือนกับการกระตุ้นเตือนร่างกายให้พร้อมกับการรับประทานอาหาร และกระตุ้นระบบการย่อยอาหารค่ะ เมื่อเราทานอาหารหลังจากดื่มน้ำสักครึ่งชั่วโมง ระบบการย่อยอาหารของเราก็จะทำงานได้ดีขึ้น รวมถึงคนที่อยากจะลดน้ำหนักด้วย ที่จะช่วยทำให้เรากินอาหารปริมาณลดลงซึ่งจะส่งผลโดยตรงกับน้ำหนัก ทำให้เราควบคุมน้ำหนักได้ดีค่ะ
4. ก่อนอาบน้ำ
การดื่มน้ำก่อนอาบน้ำเหมาะกับผู้ที่อาบน้ำอุ่นไปจนถึงน้ำร้อนมากๆ เพราะว่าการอาบน้ำร้อนมากๆ เราจะรู้สึกว่าร่างกายตัวเองร้อนขึ้น นั่นก็เพราะว่าเส้นเลือดของเราขยายค่ะ เลือดจะวิ่งไปที่ส่วนต่างๆ โดยเฉพาะที่ผิว ซึ่งเมื่อเลือดวิ่งไปที่ผิวหนังเยอะ มันก็จะวิ่งไปที่สมองน้อยค่ะ ทำให้เกิดภาวะความดันตกได้ในผู้ป่วยหรือว่าในคนที่ไม่ค่อยแข็งแรงมาก การดื่มน้ำเข้าไปก่อนอาบน้ำสัก 1 แก้ว ก็จะทำให้เป็นการลดโอกาสในการเกิดความดันตก ซึ่งก็จะทำให้ไม่หน้ามืดเป็นลมที่ขณะที่เราอาบน้ำร้อนค่ะ
5. ก่อนเข้านอน
ก่อนเข้านอนเป็นเวลาที่แนะนำให้ดื่มน้ำ แต่ก็ไม่ควรมากเกินไปค่ะ เพราะถ้าดื่มน้ำมากเกินไปก็อาจจะต้องลุกมาปัสสาวะจนรบกวนเวลานอนได้ การดื่มน้ำก่อนนอนเราแนะนำให้ดื่มประมาณ 1 แก้วค่ะ ทำไมต้องดื่มน้ำก่อนนอน ก็เพื่อป้องกันอาการขาดน้ำไปทั้งคืนค่ะ เมื่อเราเข้านอนไปแล้ว 8 ชั่วโมง เราจะขาดน้ำค่ะ ซึ่งก็ทำให้ร่างกายสูญเสียสมดุลเกลือแร่ต่างๆ การดื่มน้ำก่อนนอนก็จะสามารถคุมปริมาณน้ำไว้ในร่างกายได้ ทำให้ไม่เกิดอาการขาดน้ำและขาดเกลือแร่ค่ะ
6. เมื่อเป็นไข้หรือไม่สบาย
การที่ดื่มน้ำเข้าไปก่อนจะเป็นไข้ จะช่วยเราได้หลายๆ อย่างเลยค่ะ การที่เราดื่มน้ำเข้าไปในร่างกายจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ส่วนคนที่ขาดน้ำเวลาเป็นไข้ก็จะเป็นเยอะ รู้สึกเวียนหัวมากกว่าปกติ หายไข้ได้ช้ากว่าปกติค่ะ แต่สำหรับใครที่ได้ดื่มน้ำเข้าไปก่อน ก็จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ อาการต่างๆ ก็จะไม่มากนัก รวมถึงเวลาที่เราเป็นไข้ ร่างกายของเราจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การดื่มน้ำก็จะช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายได้ด้วย ส่งผลให้เราหายหวัด หายไข้เร็วมากขึ้นค่ะ
7. เมื่อรู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลีย
ต้องบอกว่าในบางครั้ง เราดื่มน้ำน้อยจริงๆ ค่ะ บางคนดื่มน้อยจนคิดไม่ถึงเลยก็ว่าได้ ซึ่งเมื่อเราดื่มน้ำน้อยก็จะเกิดอาการอ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืดเป็นลม เกิดอาการขาดน้ำ วิธีแก้ก็เพียงแค่ดื่มน้ำและคอยเตือนตัวเองให้ดื่มน้ำอย่างเพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ ซึ่งใน 1 วันก็ควรดื่มให้ได้ไม่น้อยกว่า 2000 CC หรือประมาณ 8 - 10 แก้วค่ะ
8. เมื่อต้องใกล้ชิดผู้ป่วย
เช่น เราไปเยี่ยมผู้ป่วยที่โรงพยาบาล ไปเฝ้าไข้ผู้ป่วยที่โรงพยาบาล อยู่ในพื้นที่ที่มีคนป่วย การต้องใกล้ชิดผู้ป่วยนั้นมีโอกาสที่เชื้อโรคจากจะเข้ามาร่างกายได้ การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของเรา ทำให้เรามีโอกาสที่จะติดเชื้อโรคต่างๆ ได้น้อยลงค่ะ รวมถึงยังทำให้ความอ่อนเพลียต่างๆ ลดน้อยลงด้วย เมื่อดื่มแล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้น ทั้งภูมิคุ้มกันดี โอกาสติดเชื้อ ติดไข้หวัดต่างๆ ก็น้อยลง การดื่มน้ำจึงเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราไม่ติดหวัดติดเชื้อโรคได้ค่ะ
.........................................
อัพเดทเทรนด์เมคอัพ แฟชั่น เคล็ดลับลดน้ำหนัก และไลฟ์สไตล์ผู้หญิงใหม่ๆ ทุกวัน
ได้ที่แอปพลิเคชัน ทรูไอดี ดาวน์โหลดเลยที่นี่!!
บทความที่คุณอาจสนใจ
3 เทคนิค ดื่มน้ำทั้งวันอย่างไร ให้ครบ 8 แก้ว โดยไม่ต้องฝืน
บอกลา ผิวขาดน้ำ ด้วยวิธีดื่มน้ำให้ถูกต้อง ปกป้องผิวสวยชุ่มชื่น