ถอดรหัสชีวิตดี ติดหวาน แก้ยังไงดี แบบไม่ต้องหักดิบ รู้งี้ทำตั้งนานแล้ว
ในยุคที่เครื่องดื่มและขนมหวานหาได้ง่ายทุกที่ การ ติดหวาน จึงกลายเป็นพฤติกรรมสุขภาพที่หลายคนกำลังเผชิญ เพราะไม่ใช่แค่เรื่องน้ำหนัก แต่ยังเป็นประตูสู่ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน ความดัน และโรคหัวใจ แต่วันนี้เราจะพาทุกคนมาถอดรหัสสาเหตุ และเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาติดหวานอย่างยั่งยืนกันค่ะ
ทำไมเราถึง ติดหวาน ?
การติดหวานไม่ใช่แค่ความอยาก แต่คือการที่สมองถูกกระตุ้นให้หลั่งสาร โดพามีน (Dopamine) หรือ "ฮอร์โมนแห่งความสุข" ออกมาเมื่อเรากินของหวาน ทำให้เรารู้สึกดีในทันที และร่างกายก็จะโหยหาความรู้สึกนั้นซ้ำๆ จนกลายเป็นวงจรการเสพติด ซึ่งส่งผลเสียร้ายแรง อาทิ
- ผลเสียต่อผิวพรรณ : น้ำตาลทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ผ่านกระบวนการ Glycation ทำให้ผิวเกิดริ้วรอย หมองคล้ำ และแก่ก่อนวัย
- ความเสี่ยงโรคเรื้อรัง : เสี่ยงเป็นเบาหวาน ภาวะดื้ออินซูลิน โรคไขมันพอกตับ และโรคหัวใจ
- อารมณ์และพลังงาน : ระดับน้ำตาลในเลือดที่ขึ้นลงเร็ว ทำให้รู้สึก เหนื่อยล้า หงุดหงิดง่าย และสมองทำงานได้ไม่เต็มที่
3 ขั้นตอน ติดหวาน แก้ยังไงดี แบบไม่ทรมานใจ
การเลิกติดหวานที่ดีที่สุด คือการทำแบบ ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่การหักดิบนะคะ เพื่อให้ร่างกายและสมองปรับตัวได้ โดยเรามีวิธีที่ทุกคนสามารถทำตามได้ง่ายๆ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 : ปรับลดความถี่และความเข้มข้น
- สั่งหวานน้อย : สั่งเครื่องดื่ม ขนมหวานลดระดับความหวานลงทีละนิด เช่น จากหวานปกติ เหลือ 75% , 50% แล้วค่อยเป็น 25% ภายใน 2-3 สัปดาห์
- ลดการตุน : ไม่ซื้อขนมหวาน น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงมาเก็บไว้ในบ้าน หรือที่ทำงาน เพื่อลดโอกาสในการหยิบมากินเมื่อรู้สึกเหงาปากหรือเครียด
- กินพร้อมมื้อหลัก : หากเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ให้กินของหวานทันที หลังมื้ออาหารหลัก เพื่อให้มีใยอาหารและโปรตีนในมื้อหลักช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด
ขั้นตอนที่ 2 : ใช้ "ตัวช่วย" แทนความอยาก
เมื่อเกิดอาการโหยหาของหวานระหว่างวัน อย่าปล่อยให้ร่างกายหิวจนตาลาย สิ่งที่สาวๆ ต้องทำคือหาตัวช่วยที่มีประโยชน์ค่ะ เช่น
- ดื่มน้ำเปล่าให้มาก : เมื่อรู้สึกอยากของหวาน ให้ จิบน้ำเปล่า 1-2 แก้วทันที ความอยากจะลดลง เพราะบางครั้งสมองอาจแปลความหมายผิดระหว่าง "ขาดน้ำ" กับ "อยากหวาน"
- เพิ่มโปรตีน ไขมันดี : กินอาหารที่มี โปรตีนสูง เช่น ไข่ ถั่ว โยเกิร์ต หรือ ไขมันดี เช่น อะโวคาโด เมล็ดเจีย ในมื้ออาหารและของว่าง เพราะโปรตีนช่วยให้อิ่มนานและลดอาการโหย
- เลือกผลไม้หวานน้อย : แทนที่จะกินเค้ก ให้กินผลไม้ที่มี ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low GI) และมีใยอาหารสูง เช่น ฝรั่ง แก้วมังกร แอปเปิ้ลเขียว หรือตระกูลเบอร์รี เพื่อให้ร่างกายได้รับความหวานจากธรรมชาติ
ขั้นตอนที่ 3 : สารให้ความหวานทดแทน
สำหรับผู้ที่ต้องการความหวานแบบไร้แคลอรี ทางเลือกที่กำลังเป็นที่นิยมและปลอดภัยมีดังนี้
หญ้าหวาน : สารให้ความหวานจากธรรมชาติ ที่หวานกว่าน้ำตาล 200-300 เท่า แต่ แคลอรีเกือบเป็นศูนย์ เหมาะสำหรับเครื่องดื่มและเบเกอรี่
หล่อฮังก๊วย : สารให้ความหวานจากสมุนไพรจีน ไม่มีแคลอรี และไม่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
อิริทริทอล : น้ำตาลแอลกอฮอล์ที่พบในผักและผลไม้ ให้ความหวาน 70% ของน้ำตาล แต่แคลอรีต่ำมาก
อย่างไรก็ตาม สารทดแทนความหวานเหล่านี้ ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะการกระตุ้นรสหวานมากๆ อาจทำให้สมองโหยหาความหวานที่แท้จริงได้เช่นกัน
และแน่นอนว่าการเอาชนะการติดหวาน จำเป็นต้องใช้เวลา และ ความสม่ำเสมอนะคะ เริ่มต้นจาก "ลด" แทน "งด" และใช้เทคนิคเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการสร้างสุขภาพที่แข็งแรงอย่างยั่งยืนค่ะ
บทความที่คุณอาจสนใจ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้![]()
สิทธิประโยชน์แนะนำ

