น้ำมันปลาและน้ำมันตับปลา ต่างกันอย่างไร ช่วยอะไรได้บ้าง แล้วควรกินตัวไหนดี ?
น้ำมันตับปลาและน้ำมันปลาต่างเป็นแหล่งของโอเมก้า 3 ซึ่งมีประโยชน์ในเรื่องของการลดอาการปวด บวม อักเสบตามข้อ ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ ช่วยเสริมสร้างการทำงานของสมองได้ค่ะ แล้วเคยสงสัยหรือไม่ว่าความแตกต่างของน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลาคืออะไร คุณประโยชน์ของทั้ง 2 ตัวนี้ต่างกันอย่างไร แต่ก่อนที่จะไปรู้รายละเอียดของทั้ง 2 ตัวนี้ เราต้องทำความรู้จักกับ EPA และ DHA ซึ่งเป็นสารสำคัญในน้ำมันตับปลาและน้ำมันปลากันก่อนค่ะ
กรดไขมัน EPA และ DHA คืออะไร
กรดไขมัน EPA และ DHA ทั้ง 2 ตัวนี้คือกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีอยู่ในโอเมก้า 3 ค่ะ โดยความแตกต่างของทั้ง 2 ตัวนี้คือ
กรดไขมัน EPA (Eicosapentaenoic Acid)
สามารถช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ ช่วยลดกระบวนการสร้างสารอักเสบต่างๆในร่างกายค่ะ ทำให้สามารถช่วยลดอาการปวดบวมตามข้อ ลดข้ออักเสบและสามารถช่วยลดการเกาะกลุ่มกันของเกร็ดเลือด มีผลทำให้สามารถช่วยลดการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคสมองขาดเลือดได้ รวมถึงยังลดภาวะซึมเศร้าในระยะเริ่มต้นได้ด้วยค่ะ
กรดไขมัน DHA (Docosahexaenoic Acid)
ทำหน้าที่ในการช่วยบำรุงเซลล์ประสาท ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง ซึ่งมีผลต่อการเรียนรู้และความจำค่ะ นอกจากนี้กรดไขมัน DHA ยังเป็นส่วนประกอบของสมองและดวงตาด้วย ช่วยทำให้ทั้งสมองและดวงตาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ
ความแตกต่างของน้ำมันปลาและน้ํามันตับปลา
น้ำมันตับปลาและน้ำมันปลา ทั้ง 2 ตัวนี้ถือเป็นแหล่งของโอเมก้า 3 แต่จะมีความแตกต่างในเรื่องปริมาณของ EPA และ DHA ค่ะ
- น้ำมันตับปลา : เป็นน้ำมันที่สกัดจากตับของปลา ส่วนใหญ่ก็จะเป็นปลาทะเล ซึ่งจะมีปริมาณ EPA อยู่ประมาณ 9% และมีปริมาณ DHA อยู่ประมาณ 14% ค่ะ นอกจากนี้น้ำมันตับปลายังมีวิตามินเอ ซึ่งสามารถช่วยบำรุงสายตา มีวิตามินดีช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้นค่ะ
- น้ำมันปลา : เป็นน้ำมันที่สกัดจากเนื้อของปลาทะเล มีปริมาณ EPA อยู่ที่ 18% และมีปริมาณ DHA อยู่ที่ประมาณ 12% ค่ะ
เลือกตัวไหนดีระหว่างน้ำมันตับปลาและน้ำมันปลา
การจะเลือกกินตัวไหน ก็ให้ดูว่าเราต้องการบำรุงร่างกายส่วนไหนค่ะ หากเราต้องการเน้นในเรื่องของลดอาการปวดบวม อักเสบตามข้อ ก็อาจจะเลือกแบบที่มี EPA มากกว่า DHA ส่วนคนที่ต้องการการบำรุงสมอง ช่วยกระตุ้นให้ความจำดี หรือต้องการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้เร็วก็เลือกผลิตภัณฑ์ที่มี DHA มากกว่า EPA
ปริมาณที่ควรกินต่อวัน
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกแนะนำให้รับ DHA และ EPA รวมกันอยู่ที่ 200 - 500 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลาทั่วไป จะมีปริมาณอยู่ที่ 1000 มิลลิกรัมต่อแคปซูล โดยมีปริมาณของ DHA และ EPA แตกต่างกันออกไปตามแต่ละผลิตภัณฑ์ค่ะ
ข้อควรระวังในการใช้น้ำมันตับปลาและน้ำมันปลา
1. คนที่แพ้ปลาทะเลหรืออาหารทะเลห้ามกิน
2. ไม่ควรกินติดต่อกันนาน
เนื่องจากในน้ำมันตับปลามีวิตามินเอและวิตามินดีที่ค่อนข้างสูง การกินติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เกิดการสะสมของวิตามินเอและวิตามินดีได้
3. ควรหยุดกินน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลาก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 7 วัน
เนื่องจากว่าคุณสมบัติของ EPA สามารถที่จะยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งอาจส่งผลทำให้เลือดแข็งตัวช้าและเกิดอันตรายระหว่างผ่าตัดได้ค่ะ
4. ห้ามกินคู่กับยาแอสไพรินและวาฟาริน
ก็ไม่แนะนำให้กินน้ำมันตับปลาและน้ำมันปลาคู่กับยาทั้ง 2 ชนิดนี้ เนื่องจากอาจเกิดปฏิกิริยากับยา ทําให้เลือดหยุดไหลช้าหรือว่าเลือดแข็งตัวช้าจนเกิดอันตรายได้
5. คนที่มีโรคประจำตัวไม่แนะนำให้กิน
โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคหัวใจ โรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด มีระดับไขมันในเลือดสูง จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ก่อนกินน้ำมันตับปลาและน้ำมันปลา
อย่างไรก็ตาม การกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ รวมไปถึงการกินปลาทะเลอย่างเพียงพอ ก็สามารถทำให้เราได้รับสารอาหารที่จำเป็นและเพียงพอต่อร่างกาย แต่สำหรับคนที่ต้องการกินอาหารเสริมเป็นน้ำมันปลาหรือน้ำมันตับปลา หากเป็นคนที่มีโรคประจำตัวหรือว่ามีการกินยาประจำอยู่ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนรับกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของร่างกายของเราค่ะ
บทความที่คุณอาจสนใจ
- 9 วิธีกินวิตามินแต่ละชนิด กินคู่กับอะไร กินตอนไหน ให้ร่างกายดูดซึมได้มากที่สุด
- 10 วิตามินบำรุงสมอง อาหารเสริมบำรุงสมอง ช่วยให้สมองทำงานดีขึ้น ความจำดี ไม่ขี้ลืม