มาเรียม B5 กับเส้นทางสายดนตรี ที่เริ่มต้นจากคำว่า 'ลองดู'
หลายต่อหลายครั้งที่คนเราเลือกปิดบังความฝันเอาไว้ไม่ให้หัวใจมองเห็น เพียงเพราะความกลัวต่างๆ นานาที่ถาโถมเข้าใส่ แต่สำหรับ มาเรียม เกรย์ หรือ มาเรียม บีไฟว์ (B5) แล้ว ทุกอย่างจะง่ายขึ้น เพียงแค่เราเลือกที่จะ ‘กล้าลอง’
หลังจากวงวัยรุ่นชื่อดัง B5 แห่งค่ายเบเกอรี่แยกวงกันไปตั้งแต่ปี 2547 สมาชิกในวงอย่าง เบน ชลาทิศ, คิว วงฟลัวร์ หรือ โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ ต่างยังคงโลดแล่นในโลกดนตรี ในขณะที่มาเรียม เกรย์ ศิลปินหญิงเพียงหนึ่งเดียวของวงเลือกที่จะไปใช้ชีวิตอีกบทบาทที่ออสเตรเลียอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ความฝันในวัยเด็กจะเรียกเธอให้กลับมาที่นี่อีกครั้ง…
‘มาเรียมอยากเป็นนักร้องแต่เด็ก เพราะชอบการแสดง และมักจะได้ไปเต้นไปแสดงบนเวทีอยู่เสมอ ตอนเด็กๆ ไม่รู้หรอกว่าโตขึ้นจะต้องเป็นแบบนี้ แค่รู้สึกว่ามันสนุกดี แต่พอเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ จนอายุประมาณ 15 ก็มานั่งนึกว่าสิ่งที่เราสนใจอยากทำจริงๆ คืออะไร แล้วคำตอบก็ออกมาว่า Performing Arts มันคือโจทย์ที่เราอยากทำ’
ความฝันที่กลายเป็นจริงด้วยความบังเอิญ หรืออีกชื่อหนึ่งที่เรียกว่า ‘โชคชะตา’
‘ตอนเด็กๆ เรียมชอบไปเดินตามแผงเทปที่สยามสแควร์ จนวันหนึ่งก็เจอผู้หญิงฝรั่งสองคนมาตามหาเพลงของวง Hot Chocolate แล้วเจ้าของร้านไม่รู้จัก ผู้หญิงสองคนนั้นเลยร้องเพลง You Sexy Thing ประสานเสียงกันสวยงามมาก มาเรียมชมว่าเค้าร้องเพราะมากก็เลยได้คุยกันและรู้ว่าเค้ามาจากออสเตรเลีย ก็เลยถามว่าที่ออสเตรเลียมีโรงเรียนที่สอนด้าน Performing Arts มั้ย เค้าเลยจดที่อยู่โรงเรียนชื่อ Victorian College of the Arts Secondary School มาให้ พอกลับมาก็เขียนจดหมายหาโรงเรียนเลยว่าเราสนใจ จนกระทั่งได้จดหมายตอบกลับมาว่าให้ส่งวิดีโอออดิชั่นเข้าไป มาเรียมเลยส่งไป 3 เพลงคือ True Colors, ลมหายใจ และ Over The Rainbow จากนั้นเค้าก็แฟกซ์กลับมาว่าผ่าน รู้สึกดีใจมาก และทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก พอพ่อรู้ว่ามาเรียมจะไปออสเตรเลียก็ตกใจมากรีบบินกลับมาเลยค่ะ (หัวเราะ)
ไปแรกๆ culture shock มาก เพราะเราไม่เคยห่างแม่นานๆ เลย และความสามารถของเด็กแต่ละคนไม่ได้เหมือนตอนเราอยู่ไทย ที่ไทยคนมองว่าเราเก่ง แต่พอไปที่โน่นเราไม่ได้ติดฝุ่นเค้าเลย ทุกคนคือสุดยอดของเด็กทั่วประเทศออสเตรเลียและจากทั่วโลกด้วย ท้อมากจนร้องไห้ สมัยนั้นมือถือยังแพง มาเรียมเลยคอยสะสมเหรียญ 50 เซ็นต์ไว้โทรกลับมาหาแม่ คุยไปก็ร้องไห้ไป คนจนเดินผ่านจำได้ว่าไอ้เด็กนี่อีกแล้ว (หัวเราะ) ซึ่งแม่คอยให้กำลังใจมาเรียมดีมาก โดยเฉพาะคำที่แม่มักจะบอกก็คือ ลองดูก่อน’
‘แม้จะไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก’ คติขับเคลื่อนชีวิตแบบมาเรียม
‘มาเรียมคิดว่าชีวิตมันไม่ง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่ายาก สิ่งสำคัญอันดับหนึ่งเลยคือต้องอดทน และสอง มีความทะเยอทะยาน ชีวิตเราไม่ใช่เพื่อแข่งขันกับคนอื่น แต่เพื่อแข่งขันกับตัวเราเอง หลายๆ อย่างมันขึ้นอยู่กับความคิด ไม่ใช่ว่ามั่นใจในตัวเองจนชูคอ แต่มันคือการที่เราบอกกับตัวเองในสิ่งดีๆ ว่า เราอยากได้สิ่งนี้ ชั้นอยากเป็น ชั้นอยากได้ และสุดท้ายมันก็เกิดขึ้น มาเรียมเชื่อในกฎแรงดึงดูดมาก เพราะมาเรียมคิดว่าหลายๆ อย่างในชีวิตมาจากการที่เรารู้ว่าเราอยากได้อะไรและเราโฟกัสกับมัน เรารู้ในใจว่านั่นคือสิ่งที่เราอยากได้ ถ้าเราไม่รู้ว่าเราอยากได้อะไรกันแน่ เราก็จะไม่รู้ว่าเราควรมุ่งไปทางไหน แล้วมันจะเคว้ง เคยมีคนบอกตอนที่มาเรียมสับสนว่า นี่มันคือชีวิตของเรานะ ไม่มีใครที่จะรับผิดชอบชีวิตของเราได้ มีแต่ตัวเราเองเท่านั้น เพราะชีวิตไม่ใช่รถที่โยนกุญแจให้ใครแล้วบอกว่า อ้ะ เธอขับให้หน่อย มันไม่ได้ เราต้องขับเอง’
ด้วยแนวคิดนี้เอง ที่ทำให้แม้จะเลือกเบนเข็มไปทำงานอยู่ที่ออสเตรเลียอยู่พักใหญ่ เธอก็ยังสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้จัดการได้ภายในเวลาไม่นาน ก่อนที่เธอเลือกจะหวนกลับมาหาสิ่งที่เธอรัก แม้จะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง จนกระทั่งเพลงละคร ‘อยากเป็นคนนั้น’ ดังเปรี้ยงและจุดประกายให้ชื่อของ มาเรียม เกรย์ หรือมาเรียม B5 กลับมาเป็นที่รู้จักของแฟนๆ อีกครั้ง
‘วันนึงมาเรียมนั่งทำรีพอร์ตในที่ทำงานถึงตีสอง ก็สนุกสนานนั่งฟังเพลงไป พอเสร็จแล้วก็นั่งมองไปรอบๆ แล้วคิดย้อนไปว่า เอ๊ะ! ทำไมเราถึงมาอยู่ที่ออสเตรเลียได้นะ เราเคยเรียน เราเคยร้องเพลง เคยทำอะไรมาบ้าง นึกย้อนไปเรื่อยๆ แล้วก็มาถึงจุดที่คิดว่าเราทำงานที่นี่มา 3 ปีแล้วนะ คงพอได้แล้ว กลับไปทำสิ่งที่เราชอบจริงๆ ดีกว่า มันเป็นจุดที่ทำให้เราจริงจังกับเส้นทางดนตรีมากขึ้น เพราะเราจะมองกลับไปไม่ได้แล้ว เรามีออปชั่นเดียวคือเดินต่อถึงแม้จะยากก็ตาม เพราะทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่หมด มาเรียมมีแค่ความเชื่อว่ามันจะต้องดี แล้วสุดท้ายมันก็ดีจริงๆ
มาเรียมโชคดีด้วยแหละที่เรียมมีเพื่อนดี อย่างเบน (เบน ชลาทิศ) ก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เบนก็จะมาบอกว่าเบนอยากได้คอรัส เราก็นึกในใจว่าจริงๆ เบนไม่ต้องใช้คอรัสหรอก (หัวเราะ) แต่นั่นมันคือการช่วยในแบบของเค้าโดยที่ไม่ให้เรารู้สึกว่าเค้ากำลังช่วยเราอยู่ แล้วก็มีพี่ๆ ในวงการช่วยแนะนำต่อๆ กัน แต่ก่อนมีแต่เบเกอรี่มิวสิค มันคือความภาคภูมิใจของเรา เค้าเรียก stupid pride ภูมิใจจนมากเกินไปในบางครั้ง ซึ่งจริงๆ แล้วคนเก่งในวงการนี้มีเยอะมาก เราเลยเปิดตัวเองรับโอกาสจากคนอื่นด้วย การเปิดรับโอกาสนี่สำคัญ บางครั้งโอกาสมาอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่เราบอกว่าไม่เอาอ่ะมันก็น่าเสียดาย เราควรจะลองดูก่อน’
แม้จะดูมีความมุ่งมั่น และเชื่อมั่นในตนเองมาก แต่เมื่อถามถึงความเชื่อเรื่องพลังของความเป็นหญิง เธอกลับบอกว่า เธอไม่เคยเชื่อในความเป็น Feminist ที่สังคมสมัยนี้ตีความเลย
‘มาเรียมเคยเถียงกับเพื่อนเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ เพราะเพื่อนเรียมจะเป็นเฟมินิสต์ ซึ่งเอาจริงๆ ไม่ใช่มาเรียมไม่เชื่อในคำนี้นะ แต่หลายคนเอาคำนี้มาตีความผิด คำว่า Feminism หมายถึงการที่ผู้หญิงสามารถขึ้นมาเท่าเทียมกับผู้ชาย เช่น ได้ทำอาชีพเหมือนกัน ได้ตำแหน่งหรือเรทเงินเดือนเท่าๆ กัน แต่หลายคนคิดว่าผู้หญิงจะต้องเก่งกว่าผู้ชาย ซึ่งมาเรียมคิดว่ามันทำให้เราแข็งกร้าวเกินไป
เราไม่จำเป็นจะต้องคิดว่าชั้นดีกว่าหรือเก่งกว่าผู้ชาย แต่เราควรรู้ว่าเราเก่งกว่าตัวเองในอดีต เราสามารถดูแลตัวเองได้ อยู่คนเดียวได้ ทำอะไรเองได้ หากมีอะไรที่เราทำไม่ได้เราก็ต้องพยายามหาทางที่จะทำให้ได้ มันคือการสร้างโอกาส ไม่ใช่ว่าชั้นไม่ได้รับเลือกเพราะชั้นเป็นผู้หญิง มาเรียมไม่เคยเชื่อ และมาเรียมก็ไม่เคยมีปัญหาในเรื่องนี้ สังเกตว่าคนที่โฟกัสมากเกินไปเค้าจะมีปัญหากับชีวิตอยู่ตลอด แต่ถามว่ายากไหมเป็นผู้หญิงในวงการบันเทิง ยากมากนะ แต่ถ้าเรามองข้ามตรงนั้นไป เรื่องแฟนคลับคือปัจจัยภายนอก แต่เรื่องคุณภาพของผลงานมันคือเรื่องของตัวเราเอง มันไม่ได้เกี่ยวกับความยากง่ายในเรื่องเพศ มันขึ้นอยู่กับทัศนคติแง่บวก และความขยันมากกว่า’
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้หญิงหลายคนคงได้ย้อนคิดไปถึงความฝัน ณ จุดเริ่มต้นของตัวเอง ไม่ว่าฝันนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม และอีกไม่น้อยที่รู้สึกว่ามันสายเกินไปที่จะทำตามฝัน หรือมีอุปสรรคมากมายที่ขวางกั้นเราจากฝันนั้น ลองอ่านสิ่งที่ผู้หญิงเสียงสวยคนนี้ทิ้งท้ายเอาไว้ เราเชื่อว่าความฝันที่เคยนอนนิ่งมานาน จะเริ่มขยับปีกและหัดบินได้อีกครั้งแน่นอนค่ะ
‘หลายคนที่ตัดสินใจไปเป็นแม่บ้านหรืออะไรก็แล้วแต่และต้องทิ้งความฝัน มาเรียมไม่อยากให้พวกเค้ารู้สึกผิดนะ มันก็คือความฝันหนึ่ง ทางเลือกหนึ่งเหมือนกัน แต่หากเรามีความฝันอยากทำอะไรจริงๆ แล้วยังไม่ได้ทำมันก็ขอให้กล้าที่จะเริ่มต้น อย่างน้อยก็ลองดูก่อน อย่ากลัวเพราะคิดว่าเรามีอุปสรรคตรงนั้นตรงนี้ เพราะการกล้าที่จะลองเริ่ม มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของอะไรดีๆ ก็ได้ค่ะ’
ติดตาม women.truelife.com ได้อีกช่องทางที่
we are women’s best friend คลิกที่ http://women.truelife.com