รีเซต

แนะนําสาร 3 ชนิด ช่วยทําลายเชื้อไวรัส สำหรับทำความสะอาดบ้านและร้านค้า

แนะนําสาร 3 ชนิด ช่วยทําลายเชื้อไวรัส สำหรับทำความสะอาดบ้านและร้านค้า
pommypom
22 เมษายน 2564 ( 14:35 )
396

     ในช่วงที่เชื้อไวรัสโควิด-19 กำลังแพร่ระบาดหนักในช่วงนี้ เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูแลตัวเองให้ดีเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในเรื่องของความสะอาดบริเวณที่อยู่อาศัยของเรา ไม่ให้สกปรกและเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคได้ และยิ่งที่บ้านไหนมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 อาศัยอยู่ด้วย เราจำเป็นที่จะต้องทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคบริเวณนั้นๆให้ดีเลย!

 

 

ทำไมต้องทำความสะอาดที่พักเพื่อฆ่าเชื้อโรค?

     แหล่งพักอาศัยหรือร้านค้าแห่งไหนที่มีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มาใช้พื้นที่ เราจำเป็นที่จะต้องทำความสะอาดบริเวณนั้นเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรคค่ะ เนื่องจากไวรัสโคโรนานี้สามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นาน 2 ชั่วโมง จนถึง 9 วันเลยทีเดียว ซึ่งการทำความสะอาดเพื่อฆ่าเชื้อโรคนั้น เราจำเป็นที่จะต้องเลือกสารที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ 

 

สาร 3 ชนิด ช่วยทําลายเชื้อไวรัส

     เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคที่ปนเปื้อนอยู่ในสภาพแวดล้อม องค์การอนามัยโลกได้ให้คําแนะนําเกี่ยวกับสาร 3 ชนิด ที่สามารถทําลายเชื้อไวรัสได้ภายในระยะเวลา 1 นาทีค่ะ นั่นก็คือ

  • สารประกอบโซเดียมไฮโปคลอไรท์ 0.1% 

    เช่น นํ้ายาฟอกขาวความเข้มข้น 1000 ppm

 

  • ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 0.5% (5000 ppm) 

    เช่น นํ้ายาซักผ้าสี

 

  • แอลกอฮอล์ 62% - 70%

 

ตัวอย่างการทำความสะอาดพื้นที่

  • ห้องน้ำ

     สามารถใช้นํ้ายาล้างห้องนํ้าทำความสะอาดได้ตามปกติ หรืออาจจะใช้นํ้ายาฟอกขาว
ปริมาณ 2 ฝา ต่อนํ้า 2 ลิตร เพื่อทำลายชื้อโรค และต้องไม่ลืมว่าขณะทําความสะอาดควรเปิดประตูเพื่อระบายอากาศด้วยนะคะ

 

  • บริเวณที่พัก

     สำหรับอุปกรณ์เครื่องใช้ หรือบริเวณที่สัมผัสบ่อยๆ อย่างเช่น ลูกบิด หรือ มือจับราวบันได สามารถใช้น้ำยาฟอกขาว ปริมาณ 2 ฝา ต่อนํ้า 2 ลิตร เพื่อทำความสะอาดได้เลย ที่สำคัญขณะทำความสะอาด ควรเปิดประตูและหน้าต่าง เพื่อให้อากาศได้ระบายด้วยนะคะ

 

  • เสื้อผ้าหรือผ้าปู

     การทำความสะอาดเสื้อผ้า ผ้าปูเตียง ปลอกหมอน หรือผ้าขนหนู ให้ใช้สบู่หรือผงซักฟอกธรรมดาสำหรับฆ่าเชื้อได้เลย หรืออีกหนึ่งวิธีคือการซักผ้าด้วยนํ้าร้อนที่อุณหภูมินํ้า 60-90 องศาเซลเซียสค่ะ

 

ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก : 

  • สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

 

 

 

บทความที่คุณอาจสนใจ

บทความที่เกี่ยวข้อง