วิธีเลือกยาแก้ไอสำหรับเด็ก เลือกอย่างไรให้เหมาะกับลูกรัก
ในปัจจุบัน ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวน เปลี่ยนแปลงบ่อยจนรับมือได้ยาก รวมถึงปัญหามลภาวะทางอากาศอื่นๆ มากมาย เช่น PM 2.5 ล้วนแต่ส่งผลต่อสุขภาพของลูกน้อย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ถ้าในช่วงนี้คุณพ่อคุณพ่อคุณแม่จะได้เห็นเด็กเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ กันเป็นระยะๆ มีเสียงไอให้ได้ยินกันอยู่เรื่อยๆ
ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ คุณแม่จะเตรียมตัวรับมือกับอาการไอที่อาจเข้ามาทักทายลูกของเราในวันหนึ่งอย่างไรบ้าง วันนี้จึงอยากชวนคุณพ่อคุณแม่ มาทำความรู้จักกับเรื่องสำคัญที่อาจมองข้ามไป นั่นก็คือ วิธีการเลือกซื้อยาแก้ไอสำหรับเด็ก เลือกอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับอาการไอของลูกรัก แต่ก่อนจะไปถึงวิธีเลือกยาแก้ไอสำหรับเด็ก เรามาดูกันก่อนดีกว่าว่า ชนิดของอาการไอ มีอะไรบ้าง แล้วแต่ละชนิดมันแตกต่างกันอย่างไร
ก่อนเลือกยาแก้ไอ ต้องรู้จักชนิดของอาการไอก่อน
แม้จะขึ้นชื่อว่าไอเหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วอาการไอนั้นมีประเภทที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยหลักๆ แล้วเราจะสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
อาการไอแบบแห้ง
เป็นการไอที่มีอาการตามชื่อเลย นั่นคือไอแบบแห้งๆ เป็นความรู้สึกระคายเคืองภายในลำคอ แล้วร่างกายพยายามไอ เหมือนจะนำบางสิ่งออกจากลำคอ อาการไอประเภทนี้ ส่วนใหญ่มักเกิดจากสิ่งปนเปื้อนในอากาศ หรือภายในสิ่งแวดล้อมที่อาศัยอยู่ หลุดเข้าในลำคอของลูก เช่น ฝุ่น ละอองเกสรดอกไม้ ทำให้เกิดการระคายเคือง และก่อให้เกิดอาการไอแบบแห้งๆ ปราศจากเสมหะ
อาการไอแบบมีเสมหะ
อาการของการไอชนิดนี้ นั่นก็คือการมีเสมหะ หรือเมือกที่ร่างกายหลั่งออกมา เนื่องจากในลำคอมีสิ่งผิดปกติ สิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรคที่เข้าไปทำให้เกิดความระคายเคือง ร่างกายจึงผลิตเมือกนี้ในบริเวณลำคอและเยื่อบุระบบทางเดินหายใจ ถ้าอยู่ที่จมูกจะเรียกว่าน้ำมูก แม้จะเป็นกลไกของร่างกาย แต่ถ้าหากเสมหะมีอยู่มากก็ก่อให้เกิดความรำคาญได้ไม่น้อยทีเดียว ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วการไอของเด็กๆ เวลาเจ็บป่วยมักจะเป็นการไอประเภทนี้
สาเหตุของอาการไอมีเสมหะในเด็ก
การไอมีเสมหะในเด็กนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดจากเชื้อโรค ซึ่งเป็นสิ่งแปลกปลอมสำหรับร่างกายคน เข้าไปสร้างความระคายเคืองในบริเวณลำคอ แถวๆ หลอดลม นอกจากนี้อาจเกิดขึ้นได้จากการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น โรคหวัด ไซนัสอักเสบ วัณโรค ภูมิแพ้ กรดไหลย้อน ทอนซิลอักเสบ เป็นต้น
วิธีการเลือกยาแก้ไอสำหรับเด็กที่ถูกต้อง
เชื่อว่า คุณพ่อคุณแม่หลายๆ ท่านน่าจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า ยาแก้ไอ อาจไม่ใช่ยารักษาโรคต่างๆ ที่ลูกรักอาจจะป่วยอยู่ แต่ยาแก้ไอก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำหรับลูกน้อยระหว่างที่มีอาการไอ มีเสมหะได้ เพราะหน้าที่สำคัญของมันคือช่วยบรรเทาอาการไอ และช่วยขับเสมหะได้ดียิ่งขึ้น ลดความทรมานจากการไอและความรำคาญจากการมีเสมหะในคอได้เป็นอย่างดี
แต่ยาแก้ไอในท้องตลาดนั้น ก็มีมากมายหลากหลายยี่ห้อ หลายสูตรยาเหลือเกิน แล้วแบบไหนถึงจะเหมาะกับลูก งานนี้เราก็มีคำแนะนำในการเลือกซื้อยาแก้ไอสำหรับเด็ก ดังนี้
เลือกยาแก้ไอที่ปราศจากแอลกอฮอล์
ต้องบอกว่าอาจเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่หลายๆ คนอาจคาดไม่ถึง ว่ายาแก้ไอโดยทั่วไปนั้น หลายๆ สูตร มักมีการผสมแอลกอฮอล์เข้าไปด้วย ซึ่งแน่นอนว่าแอลกอฮอล์เป็นสิ่งที่ไม่ส่งผลดีต่อเด็กๆ เท่าไรนัก ดังนั้นก่อนซื้อ แนะนำให้อ่านฉลาก หรือหน้ากล่องยา เลือกซื้อยี่ห้อที่บอกชัดเจนว่า ปราศจากแอลกอฮอล์
เลือกยาแก้ไอที่ปราศจากน้ำตาล หรือน้ำตาลน้อย
แน่นอนว่ายาแก้ไอสำหรับเด็ก หรือแม้แต่ยาแก้ไอสำหรับผู้ใหญ่ โดยส่วนมากแล้วมักจะมีรสหวาน เพื่อให้รับประทานได้ง่าย แต่น้ำตาลนั้น เป็นอีกหนึ่งศัตรูตัวฉกาจของสุขภาพ โดยเฉพาะกับเด็ก ที่อาจส่งผลเสียได้หลายอย่าง เช่น อาจทำให้ฟันผุได้ หากรับประทานเข้าไปแล้วไม่แปรงฟัน ดังนั้น เลือกชนิดที่ปราศจากน้ำตาล ก็จะอุ่นใจขึ้นได้เล็กน้อยสำหรับแม่ๆ ค่ะ
ไม่แต่งสีสังเคราะห์
ยาน้ำสำหรับเด็ก หลายๆ ชนิดมักจะมีสีสันที่สดใส สวยงาม เพื่อทำให้เด็กมีความสนใจ ลดความน่ากลัว หรือความรู้สึกแย่ของเด็กเมื่อต้องรับประทานยานั้นๆ เข้าไป แต่สีผสมอาหารนั้น ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ใดๆ กับสุขภาพของเด็กเช่นกัน ดังนั้น หากเลือกได้ ก็เลี่ยงยาแก้ไอที่ใส่สีสังเคราะห์จะดีกว่าค่ะ
Eugica Ivy Syrup สารสกัดจากใบไอวี่ สำหรับเด็กและผู้ใหญ่
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหาตัวช่วยสำหรับลูกน้อย Eugica Ivy Syrup ก็เป็นไอเทมสำหรับเด็ก ที่มีคุณสมบัติทั้งหมดที่เรากล่าวแนะนำไปในข้างต้น ทั้งปราศจากแอลกอฮอล์ ปราศจากน้ำตาล ไม่แต่งสีสังเคราะห์ ผสมสารสกัดจากใบไอวี่ ที่ทางองค์การยาแห่งสหภาพยุโรปได้รับรอง และมีสรรพคุณทางยาบรรจุอยู่ใน ESCOP (European Scientific Cooperative on Phytotherapy) เด็กๆ สามารถรับประทานได้ ที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ก็สามารถรับประทานได้ด้วยเช่นกันค่ะ
แต่ใดๆ ก็ตาม ต้องย้ำอีกครั้งให้ชัดเจนตรงนี้ ว่ายาแก้ไอนั้น ไม่ใช่ยาวิเศษที่รักษาอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใด หากลูกรักของคุณแม่มีอาการเจ็บป่วย ขอแนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ / เภสัชกร เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม และรับคำแนะนำในการดูแลตัวเองที่ถูกต้อง