รีเซต

คลายทุกข้อสงสัย “ผ่าคลอด” ข้อดี-ข้อเสีย พร้อมเคล็ดลับดูแลสุขภาพคุณแม่หลังผ่าคลอด

คลายทุกข้อสงสัย “ผ่าคลอด” ข้อดี-ข้อเสีย พร้อมเคล็ดลับดูแลสุขภาพคุณแม่หลังผ่าคลอด
FaiiNatnista
3 พฤศจิกายน 2568 ( 10:00 )
28

     ผ่าคลอดไม่ใช่เรื่องน่ากังวล บทความนี้จะพาทุกคนไปคลายทุกข้อสงสัย เกี่ยวกับ การผ่าคลอด ไม่ว่าจะเป็น ข้อดี ข้อเสีย พร้อมเคล็ดลับดูแลแม่หลังคลอด โภชนาการเด็กผ่าคลอด และสารอาหารเสริมพัฒนาสมองสำหรับเด็กผ่าคลอดกันค่ะ

 

 

     สำหรับ (ว่าที่) คุณแม่หลายคน การเตรียมนับถอยหลังเข้าสู่วันคลอด ไม่ใช่แค่เรื่องของการจัดกระเป๋าเตรียมคลอด เตรียมเอกสารสำคัญ หรือการเตรียมร่างกายให้พร้อม แต่ยังรวมไปถึงการเตรียมใจเพื่อรับมือกับสารพัดความกังวลที่ถาโถมเข้ามา โดยเฉพาะเมื่อคุณแม่จำเป็นต้อง “ผ่าคลอด” มักจะเผชิญกับคำถามในใจมากมาย ทั้งเป็นห่วงว่าผ่าคลอดเจ็บไหม แผลผ่าคลอดใช้เวลากี่วันถึงจะหาย จะเป็นรอยแผลเป็นหรือไม่ รวมไปถึงกังวลเรื่องสุขภาพของลูกรักที่เป็นเด็กผ่าคลอด ซึ่งต้องดูแลเอาใจใส่กันเป็นพิเศษตั้งแต่วันแรก

     บทความนี้จะพาคุณแม่ผ่าคลอดมาคลายทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการผ่าคลอด ทั้งข้อดี-ข้อเสีย เทคนิคการดูแลแผลให้หายไว คำแนะนำเรื่องการเลือกโภชนาการสำหรับคุณแม่ทั้งก่อนและหลังคลอด รวมไปถึงโภชนาการสำหรับเด็กผ่าคลอด เพื่อให้คุณแม่และเจ้าตัวน้อยก้าวข้ามทุกความกังวล ดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจได้เต็มที่และอบอุ่นหัวใจ

 

ทำไมคุณแม่ต้องผ่าคลอด: ปูพื้นฐานความเข้าใจในการผ่าคลอด

     สำหรับคุณแม่ที่กำลังเตรียมตัวเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญของชีวิต การคลอดลูกนับเป็นประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงบทบาทครั้งใหญ่ในชีวิต แม้หลายคนจะตั้งใจไว้ว่าอยากจะคลอดธรรมชาติ แต่ในบางกรณี “การผ่าคลอด” กลับเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและเหมาะสมทั้งกับสุขภาพของคุณแม่และทารกในครรภ์

 

ผ่าคลอดคืออะไร?

 

 

     การผ่าคลอด (Cesarean Section หรือ C-Section) คือ การคลอดบุตรด้วยวิธีผ่าตัดผ่านผนังหน้าท้องแทนการคลอดทางช่องคลอดตามธรรมชาติ โดยทั่วไปการผ่าคลอดมีทั้งแบบวางแผนล่วงหน้า และแบบผ่าคลอดฉุกเฉิน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคุณแม่ และความพร้อมของทารกในครรภ์ โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและให้คำแนะนำในการคลอดอย่างเหมาะสมภายใต้ความปลอดภัยสูงสุด (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าคลอดได้ที่ https://www.s-momclub.com/articles/labor/how-prepare-your-c-section)

 

 

ข้อดี-ข้อเสียของการผ่าคลอด

  • ข้อดีของการผ่าคลอด

    • มีความปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากภาวะฉุกเฉินระหว่างคลอด
    • ทราบวันคลอดแน่นอน สามารถวางแผนล่วงหน้าได้
    • ใช้เวลาในการคลอดไม่นาน
    • เหมาะสำหรับคุณแม่ที่มีภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพ หรือเคยผ่าคลอดมาก่อน
  • ข้อเสียของการผ่าคลอด

    • ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าคลอดธรรมชาติ โดยเฉลี่ยประมาณ 4–6 สัปดาห์ขึ้นไป
    • มีอาการเจ็บแผลมากกว่าการคลอดธรรมชาติ
    • มีโอกาสเกิดพังผืดหรือแผลเป็นที่แผลผ่าตัด
    • เด็กผ่าคลอดอาจพลาดโอกาสได้รับจุลินทรีย์สุขภาพจากช่องคลอดแม่ ซึ่งมีบทบาทในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งแต่แรกเกิด

     แม้การผ่าคลอดจะมีทั้งข้อดีและข้อควรระวัง แต่หากคุณแม่ทำความเข้าใจได้ดีตั้งแต่ต้น ก็จะช่วยให้วางแผนรับมือได้อย่างมั่นใจ เตรียมพร้อมในการดูแลสุขภาพของตนเองและลูกรักได้ดียิ่งขึ้น

 

แผลผ่าคลอดหายช้า: เรื่องธรรมดาที่แม่หลายคนกังวล

 

 

     หลังการผ่าคลอด หนึ่งในเรื่องที่คุณแม่กังวลมากที่สุดคือ “เมื่อไหร่แผลจะหาย” หรือ“แผลผ่าคลอดกี่วันหาย” เพราะแผลผ่าตัดบริเวณหน้าท้องของคุณแม่ จำเป็นต้องได้รับการดูแลด้วยความใส่ใจ โดยทั่วไปแผลผ่าคลอดภายนอกจะใช้เวลาราว 1-2 สัปดาห์ จึงจะแห้งและปิดสนิท และแผลทั้งหมดก็จะสมานตัวเต็มที่ภายใน 6-8 สัปดาห์

     อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น พื้นฐานสุขภาพ การพักผ่อน โภชนาการ และการดูแลแผลอย่างถูกวิธี ดังนั้น หากคุณแม่ดูแลตัวเองดี แผลก็จะค่อยๆ จางลง และเจ็บน้อยลงตามลำดับ

     สำหรับปัจจัยที่ทำให้แผลผ่าคลอดหายช้ากว่าปกติ อาจเกิดได้ทั้งจากการติดเชื้อ การเคลื่อนไหวผิดท่า การฝืนยกของหนัก การขาดโภชนาการที่จำเป็นต่อการฟื้นตัว หรือมีโรคประจำตัวที่ส่งผลให้แผลหายช้า เช่น เลือดจาง เบาหวาน และหากพบว่ามีสัญญาณผิดปกติ เช่น แผลบวมแดง ร้อน มีเลือดหรือหนองไหลซึมออกมา ปวดแผลร่วมกับมีไข้สูง เจ็บแผลจนเคลื่อนไหวหรือยืดตัวในท่าทางปกติไม่ได้ แนะนำให้รีบมาพบแพทย์ทันที เพื่อเข้ารับการรักษาที่เหมาะสมทันเวลา (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผลผ่าคลอดกี่วันหายได้ที่ https://www.s-momclub.com/articles/labor/caesarean-wound-healing)

 

ดูแลแผลผ่าคลอดให้หายไว พร้อมเทคนิคฟื้นฟูใจหลังผ่าคลอด

     แม้การผ่าคลอดจะผ่านไปแล้ว แต่ร่างกายของคุณแม่ก็ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวนานหลายสัปดาห์ และไม่ใช่แค่การดูแลร่างกายเท่านั้น แต่จิตใจของแม่ผ่าคลอดก็ต้องได้รับการฟื้นฟูดูแลอย่างใกล้ชิดเช่นกัน เพราะคุณแม่มีสิ่งที่ต้องเผชิญทั้งความเครียดหลังคลอด และความรู้สึกไม่มั่นใจว่าจะสามารถเลี้ยงดูลูกรักได้ดี ซึ่งการดูแลสุขภาพที่เหมาะสำหรับคุณแม่หลังคลอด ทำได้ดังนี้

  • การดูแลแผลผ่าคลอด

     ควรล้างแผลวันละ 1-2 ครั้ง เช็ดรอบแผลด้วยผ้าสะอาด แล้วซับให้แห้งอย่างเบามือ หากมีการใช้แผ่นปิดแผลก็ควรเปลี่ยนทุกวัน นอกจากนี้ คุณแม่จำเป็นต้องขยับร่างกายภายหลังคลอด เช่น ลุกนั่ง เดินช้าๆ แต่ควรหลีกเลี่ยงการยกของหนัก หรือทำกิจกรรมที่ทำให้ต้องเกร็งหน้าท้องมากเกินไป เลือกใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ เพื่อป้องกันการเสียดสีกับแผล คุณหมอมักแนะนำให้คุณแม่ใส่ผ้ารัดหน้าท้องเพื่อพยุงแผลไม่ให้เคลื่อนไหวมาก และจะช่วยให้คุณแม่ทำกิจวัตรประจำวันได้คล่องตัวขึ้น

     การพักผ่อนให้เพียงพอ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้คุณแม่มีสภาพจิตใจที่สดชื่นขึ้น และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ การกล้ายอมรับใน “ความไม่สมบูรณ์แบบ” จากการที่ต้องผ่าคลอดแทนการคลอดธรรมชาติ การพูดคุยแบ่งปันความรู้สึกต่างๆ กับสามี ครอบครัว และเพื่อนสนิท จะช่วยให้คุณแม่ผ่อนคลาย และรู้สึกว่าไม่ได้เผชิญกับความกังวลมากมายอยู่เพียงลำพัง

  • เทคนิคฟื้นฟูใจ คลายทุกข้อคาใจที่แม่ผ่าคลอดกังวล

 

 

     เพราะเราเข้าใจดีว่า หลังผ่าคลอด คุณแม่หลายคนไม่ได้เผชิญแค่ความเจ็บของแผลผ่าคลอด แต่ยังต้องรับมือกับความกดดัน และความคาดหวังจากผู้คนรอบตัว สิ่งสำคัญที่สุด คือ การยอมรับในตัวเองได้ และหันมาพูดคุยกับคนใกล้ชิด หรือพูดคุยแลกเปลี่ยนกับกลุ่มคุณแม่ที่มีประสบการณ์เดียวกัน ก็จะช่วยลดความรู้สึกโดดเดี่ยวได้ดีเช่นเดียวกับการหันมามองเห็นลูกรักเติบโตขึ้นอย่างดี สุขภาพแข็งแรง และมีพัฒนาการดีในทุกวัน สิ่งเหล่านี้ถือเป็นพลังใจที่ดี ช่วยตอกย้ำว่าคุณแม่กำลังทำหน้าที่นี้ได้ดีมากแค่ไหน

 

โภชนาการคุณแม่หลังผ่าคลอด: เสริมสร้างร่างกายให้ฟื้นตัวได้ดี

 

 

     หลังการผ่าคลอด ร่างกายคุณแม่ต้องใช้พลังงานมหาศาลในการฟื้นตัวจากการผ่าตัด และจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่เหมาะสมเพื่อนำมาใช้ในการฟื้นพลังหลังการดูแลลูกน้อยตลอดทั้งวัน โดยควรเลือกรับประทานอาหารหลากหลาย อุดมด้วยประโยชน์ตามหลักโภชนาการ เช่น โปรตีน จากเนื้อไม่ติดมัน ไข่ ถั่ว ธัญพืช ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อจาการผ่าคลอดได้ดี วิตามินซี จากผลไม้สด มีคุณสมบัติช่วยสมานแผล และธาตุเหล็กจากผักใบเขียวหรือตับ เพื่อเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง นอกจากนี้ คุณแม่ควรดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงอาหารทอด ของหมักดอง และอาหารแปรรูป เพื่อลดการอักเสบ และดีต่อระบบย่อยอาหาร

     ในบางกรณี คุณแม่ก็จะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้เสริมวิตามินรวม ธาตุเหล็ก หรือแคลเซียม เพื่อให้สามารถให้นมทารกได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่กระทบต่อสุขภาพของคุณแม่ ซึ่งการรับประทานอาหารเสริมอย่างปลอดภัย ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น

 

โภชนาการสำหรับเด็กผ่าคลอด: สำคัญแค่ไหน ทำไมต้องเลือกให้เหมาะ?

     เราทราบกันดีว่า เด็กผ่าคลอด พลาดการได้รับจุลินทรีย์สุขภาพจากช่องคลอดของแม่ ซึ่งจุลินทรีย์ดีเหล่านี้มีบทบาทสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของลูก ดังนั้น สุดยอดโภชนาการ อย่าง “นมแม่” ที่อุดมด้วยสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด เช่น ดีเอชเอ แคลเซียม วิตามิน และสารอาหารอื่นๆ อีกมากมาย จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเติมเต็มสิ่งที่ร่างกายของเด็กผ่าคลอดพลาดไป โดยเฉพาะในช่วง 1,000 วันแรก ซึ่งเป็นช่วงทองของการพัฒนาร่างกายและสมอง โภชนาการที่ดีนี้จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ลดโอกาสเจ็บป่วย และช่วยให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีรอบด้าน

 

 

     แต่คุณแม่หลายคน ก็อาจต้องเผชิญกับอุปสรรคบางประการที่ทำให้ไม่สามารถให้ลูกทานนมแม่ได้ตามที่ตั้งใจ การเลือกนมที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับเด็กผ่าคลอด จึงเป็นทางเลือกที่ช่วยให้เด็กผ่าคลอดได้รับสารอาหารและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ขาดไปในช่วงแรกของชีวิตได้ครบถ้วน

     โดยคุณแม่ควรเลือก นมสำหรับเด็กผ่าคลอด สูตรเฉพาะสำหรับเด็กผ่าคลอด ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ดีต่อระบบย่อยอาหาร และพัฒนาการสมอง เพื่อให้คุณแม่มั่นใจว่า เด็กผ่าคลอดจะเติบโต มีสุขภาพแข็งแรง และพัฒนาการดีสมวัย เช่นเดียวกับเด็กคลอดธรรมชาติ (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับนมสำหรับเด็กผ่าคลอดได้ที่ https://www.s-momclub.com/articles/labor/formula-after-c-section)

 

 

     เราอยากให้คุณแม่มั่นใจว่า ผ่าคลอดก็เป็นแม่ที่สมบูรณ์ได้ เพราะการผ่าคลอดเป็นการตัดสินใจร่วมกับแพทย์เพื่อความปลอดภัยของแม่และลูกคือสิ่งสำคัญที่สุด สิ่งที่คุณแม่ควรให้ความสำคัญมากกว่าคือการดูแลตัวเองทั้งร่างกายและจิตใจอย่างเหมาะสม ดูแลแผลผ่าคลอดอย่างถูกวิธีเพื่อให้แผลหายไวขึ้น ใส่ใจเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และเสริมโภชนาการให้ครบถ้วน เพียงเท่านี้ คุณแม่ผ่าคลอดก็จะมีสุขภาพแข็งแรง ร่างกายฟื้นตัวได้ดีเยี่ยม ช่วยให้สามารถดูแลลูกน้อยได้เต็มที่

 

รู้จัก Alphalac Sphingomyelin สารอาหารสำคัญของสมอง พร้อมเสริมภูมิคุ้มกัน

     แม้ว่าคุณแม่แต่ละคนจะมีวิธีดูแลลูกต่างกันไป แต่สิ่งที่คุณแม่ทุกคนให้ความสำคัญเหมือนกัน คือการเลือกโภชนาการที่เหมาะสมกับลูกรัก ซึ่งอุดมด้วยสารอาหารที่พัฒนาสมองที่พบในนมแม่

     เพราะ ‘นมแม่’ มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด ในทุกหยดของน้ำนมแม่ อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อสมอง ทั้ง ดีเอชเอ (DHA), เออาร์เอ (ARA), ลูทีน และ ธาตุเหล็ก รวมถึง “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอิลิน” (Alphalac Sphingomyelin) (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับแอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอิลินได้ที่ https://www.s-momclub.com/sphingomyelin-speed-brain) ที่สำคัญต่อพัฒนาการของลูกรัก เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การทำงานของสมองในเด็กเจนใหม่มีประสิทธิภาพ โดยการสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มประสิทธิภาพของการส่งสัญญาณประสาทให้ก้าวกระโดด เพื่อให้ลูกรักมีพัฒนาการของเด็กสมองไว พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าโลกจะหมุนไปเร็วแค่ไหน สมองของลูกรักก็พร้อมจะไว และก้าวทันโลกใบนี้อย่างมีความสุขในทุกๆ วัน นอกจากนี้ ในน้ำนมแม่ยังมี “บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (Bifidobacterium lactis หรือ B. lactis)” ซึ่งเป็นจุลินทรีย์สุขภาพที่มีบทบาทสำคัญต่อภูมิคุ้มกันของลูกน้อย โดยปกติทารกจะได้รับจุลินทรีย์สุขภาพจากช่องคลอดของแม่ระหว่างการคลอดตามธรรมชาติ แต่ในกรณีของเด็กที่คลอดด้วยวิธีผ่าคลอด การได้รับ B. lactis จากนมแม่จะช่วยเสริมและเร่งการสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานสมดุล ลดโอกาสการติดเชื้อ และเสริมเกราะป้องกันร่างกายจากภายใน (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับบิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิสได้ที่ https://www.s-momclub.com/c-section/babies-born-by-c-section)

 

     สำหรับคุณแม่ที่มีข้อสงสัย หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าคลอด สามารถค้นหาคำตอบและอ่านบทความที่น่าสนใจได้ที่เว็บไซต์ https://www.s-momclub.com/c-section/babies-born-by-c-section

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

บทความที่เกี่ยวข้อง

ดาวน์โหลด ทรูไอดีแอป
ดาวน์โหลด ทรูไอดีแอป
สัมผัสโลกไร้ขีดจำกัดกับทรูไอดี