รีเซต

ไขข้อข้องใจ !! AHA และ BHA คืออะไร? ควรใช้ตัวไหนหากต้องการลดสิว

ไขข้อข้องใจ !! AHA และ BHA คืออะไร? ควรใช้ตัวไหนหากต้องการลดสิว
Beau_Monde
24 ธันวาคม 2563 ( 08:05 )
1.9K

     เนื่องจากหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสิวนั่นก็คือการผลัดเซลล์ผิวไม่เป็นไปตามธรรมชาติ และทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน วันนี้เราก็เลยจะมาพูดถึงเวชสำอางที่ใช้ในการรักษาสิว ในกลุ่ม hydroxy Acid ซึ่งได้แก่ Alpha hydroxy Acid หรือ AHA และ Beta hydroxy Acid หรือ BHA กันค่ะ ซึ่งสำหรับใครที่ต้องการใช้เวชสำอางทั้ง 2 ตัวนี้ในการลดสิว แต่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกใช้อย่างไรดี ทั้ง AHA และ BHA มีความแตกต่างกันอย่างไร วันนี้เรามาไขข้อข้องใจให้ค่ะ

 

 

AHA คืออะไร

     เริ่มกันที่ตัวแรกเลย นั่นก็คือ Alpha hydroxy Acid หรือ AHA จัดเป็นกรดชนิดหนึ่งที่พบได้ในผลไม้และพืชหลายชนิด อย่างเช่น กรด Glycolic Acid ได้มาจากอ้อย กรด Lactic Acid จากโยเกิร์ต, มะเขือเทศ  กรด Malic Acid จากแอปเปิ้ล กรด Tartaric Acid จากมะขาม, องุ่น, ไวน์ กรด Citric Acid จากส้ม, มะนาว, สับปะรด เป็นต้น โดยกรด Glycolic Acid จากอ้อย เป็นกรดที่ได้รับความนิยมในการใส่ลงไปในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวส่วนใหญ่ 

     กลไกการออกฤทธิ์ของ AHA คือเมื่อทาลงบนผิวแล้ว กรดชนิดนี้จะเข้าไปทำให้พันธะระหว่าง Corneocyte อ่อนแอ นำไปสู่การผลัดเซลล์ผิวได้ง่ายขึ้น และช่วยลดการเกิดการสะสมของชั้นขี้ไคลที่จะนำไปสู่การอุดตันของรูขุมขน นอกจากนี้เมื่อทาอย่างต่อเนื่องก็พบว่ากรด AHA อาจจะช่วยกระจายเม็ดสีผิวและเพิ่มการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง ซึ่งทำให้ผิวบริเวณนั้นมีความกระจ่างใสขึ้น ริ้วรอยและความเหี่ยวย่นก็ลดลง

     ดังนั้นเวชสำอางที่มีส่วนประกอบของ AHA จึงสามารถช่วยในการรักษาสิวได้ โดยเหมาะกับการใช้ในการรักษาสิวในระดับที่เล็กน้อยถึงปานกลางค่ะ

 

อาการข้างเคียงจากการใช้ AHA

     อาการไม่พึงประสงค์ที่จะพบได้ก็คือ มีอาการแสบแดง คันหรือคันยิบๆ มีผิวลอกได้บ้าง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับระดับความเข้มข้นของปริมาณกรด AHA ที่ใส่ลงไปในผลิตภัณฑ์นั้นๆ ค่ะ แต่โดยปกติแล้วจะควบคุมอยู่ที่ไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์หรือน้อยกว่าที่จะสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยค่ะ 

 

BHA คืออะไร

     BHA หรือ Beta hydroxy Acid ก็ถือเป็นเวชสำอางที่ถูกใช้ในการรักษาสิวมาเป็นเวลานาน โดยกลไกของกรดชนิดนี้จะออกฤทธิ์คล้ายๆ กับ AHA คือเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้การอุดตันของรูขุมขนลดลง นอกจากนี้ก็ยังมีฤทธิ์ในการช่วยลดกระบวนการอักเสบ โดย BHA จะมีความชอบไขมันจึงสามารถแทรกซึมเข้าในต่อมไขมันได้ดีกว่า มีประสิทธิภาพในการรักษาสิวอักเสบและสิวอุดตันได้ดี แต่อาการข้างเคียงของ BHA ก็มีมากกว่า AHA เช่นเดียวกัน

     วิธีการทา แนะนำให้ทาบางๆ หลังจากที่ล้างหน้าเสร็จหรือหลังจากที่เช็ดทำความสะอาดหน้าด้วยโทนเนอร์แล้ว หลีกเลี่ยงการทาบริเวณรอบดวงตาหรือเปลือกตาโดยตรง สำหรับคนที่ใช้เป็นครั้งแรกอาจรู้สึกว่าคันยิบๆ ซึ่งเป็นอาการปกติค่ะ 

     ดังนั้นเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงอาการข้างเคียงเล็กๆ แบบนี้ แนะนำให้ทาวันเว้นวัน หรือว่าอาจจะทาสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง หลังจากนั้นประมาณสัก 4 - 6 สัปดาห์หรือประมาณ 1 เดือน ค่อยเพิ่มความถี่ขึ้นเป็นทาทุกวันหรือว่าทาเป็นเช้าเย็นค่ะ แต่ถ้าหากเกิดอาการผิดปกติเช่น เกิดรอยแดง รอยไหม้ แสบแดง คันมากๆ รวมถึงมีอาการระคายเคือง ก็ให้ปรับลดความถี่ในการทาลงหรือให้หยุดใช้ค่ะ

 

บทความที่เกี่ยวข้อง