BOTTEGA VENETA จัดงาน WINTER 23 SHOW ณ กรุงปักกิ่ง โชว์แรกของแบรนด์ในจีน
BOTTEGA VENETA จัดงาน WINTER 23 SHOW ณ กรุงปักกิ่ง ซึ่งนับว่าเป็นโชว์แรกของแบรนด์ BOTTEGA VENETA ในประเทศจีน
“ความหรูหราที่แท้จริงคือการเป็นตัวของตัวเอง” Matthieu Blazy กล่าว ผ่านบริเวณใกล้เคียงของเมืองเวนิซ (Venice) อันเป็นต้นกำเนิดของ Bottega Veneta ซึ่งมีความผูกพันธ์ใกล้ชิดกับเมือง เมืองเวนิสได้สะท้อนมุมมองทั่วโลกผ่านตำแหน่งของงานศิลปะและเป็นศูนย์กลางสำหรับการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมของงานฝีมือและความคิดสร้างสรรค์มาตลอดหลายร้อยปี โดยหลักในการก่อตั้งแบรนด์ Laberet Ingenium แสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยงที่มีความเป็นเอกลักษณ์ระหว่างงานฝีมือ (Craftmanship) และความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) การเป็นพันธมิตรของทั้งสองสิ่งนี้กระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมงานฝีมือที่อยู่เหนือกาลเวลาสำหรับ Bottega Veneta นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2509 ทั้งนี้ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ได้มองหาผลิตภัณต์ที่มีคุณภาพสูงและสามารถใช้งานได้ในระยะยาว ความรู้สึกของการเคลื่อนไหวและการไปเยือนยังสถานที่ต่าง ๆ ด้วยผลิตภัณฑ์อันเป็นศูนย์กลางของการออกแบบและเป็นที่จดจำอย่างชัดเจนโดยที่ไม่มีสัญลักษณ์หรือโลโก้ โดยผู้ก่อตั้งและช่างฝีมือของเขาใช้เวลาร่วมหลายวันในการรังสรรค์กระเป๋าหนังที่มีความนุ่ม (Soft Leather Bag) ที่ได้หล่อหลอมอารมณ์ที่มีคุณภาพให้แก่ผู้สวมใส่ ซึ่งในปัจจุบันงานสานฝีมืออย่างเทคนิก Intrecciato ยังคงความเอกลักษณ์ของแบรนด์ ที่เป็นทั้งสัญลักษณ์ของนวัตกรรมและเหนือกาลเวลา
“การแปรเปลี่ยนบนถนนที่มีความแตกต่าง ใครที่คุณจะพบเจอ? สิ่งใดที่อยู่รอบ ๆ ตัวคุณ? ใครที่จะทำให้คุณประหลาดใจ ทั้งหมดนี้เป็นความประหลาดใจของการเผชิญหน้าที่มีความสำคัญ” Matthieu Blazy กล่าว
นำไปสู่การปิดฉากการแสดงไตรภาค ‘อิตาลี’ ที่ Matthieu Blazy ได้เฉลิมฉลองและเชื่อมโยง อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของประเทศด้วยคอนเซปต์ Craft in Motion อย่างไรก็ตาม การผจญภัยของเหล่านักแสดงยังคงดำเนินต่อไป โดยนักผจญภัยเหล่านั้นได้เป็นต้นแบบของการเปลี่ยนแปลง และการท่องเที่ยวจากความธรรมดาที่นำไปสู่ความน่าอัศจรรย์ จนเกิดการตั้งคำถามว่าความหมายของของคำว่าทันสมัยหรือ ชิค (Chic) ได้มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อใด เริ่มต้นจากชุดคลุมสีขาวโปร่งและถุงเท้าเข้านอน (รองเท้าหนังถัก) ไปจนถึงชุดนอนลายทาง หรือชุดนอน ‘ผ้าสักหลาดสีเทา’ โดยงานฝีมือได้ถูกกำหนดคุณค่าหรือพัฒนาขึ้นมาใหม่
ทั้งนี้ Botticelli’s Chloris และ Flora จาก ‘Primavera’ (c1482) ได้ถูกรังสรรค์ขึ้นมาใหม่ในเวลานี้ด้วยงานปักที่มีความประณีตบรรจงลงบนผ้าไหมโดยการปักด้วยมือ ผ่านการใช้แจคการ์ดรูปแบบ fill coupe ที่กลายเป็นเกล็ดและขนนกเรียงซ้อนกันอย่างสวยงามซึ่งถูกเปลี่ยนแปลงโดยการใช้หลักเกณฑ์ของวอลลุ่มและเทคนิก อีกทั้งยังนำแก้วมูราโน่ (Murano glass) ที่มีความอ่อนตัว สามารถยืดหยุ่นและตีออกเป็นรูปทรงต่างๆได้ นำมาเป็นสิ่งที่ถูกยึดไว้ระหว่างกลาง เมื่อนำไปใช้เป็นที่จับโปร่งแสงของกระเป๋า Sardine โดยเน้นย้ำไปที่จุดสิ้นสุดส่วนหนึ่งของเรื่องราว Bottega Veneta และจุดเริ่มต้นของตำนานบทใหม่อีกเรื่องหนึ่ง ที่มีความเกี่ยวข้องกับแสดงให้เห็นถึงความสุขส่วนตัวในการแต่งตัว เพื่อเพิ่มความมั่นใจที่จะเป็นใครก็ได้ตามที่ผู้สวมใส่ปรารถนาผ่านเสื้อผ้า การไม่มีโลโก้ถือว่าเป็นสิ่งที่ Bottega Veneta ให้ความสำคัญกับความรู้สึกที่มีต่อสินค้ามากกว่าหน้าตาสำหรับผู้สวมใส่ ความรู้สึกและเรื่องราวของผู้สวมใส่ได้ส่งต่อและนำเสนอคอนเซปต์ของพลังเงียบ หรือ quite power ซึ่งสำหรับ Blazy แล้วความหรูหราที่แท้จริงคือตัวของเราเอง