โรคไข้เลือดออก (Dengue fever) เป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันที่เกิดจากยุงลายเป็นพาหะ ทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดตามเนื้อตัว หรือรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ส่วนตัวเรามีประสบการณ์เป็นไข้เลือดออก 2 ครั้ง ซึ่งบอกเลยว่าทรมาณมาก และอยากให้เพื่อน ๆ ทุกคนเฝ้าระวังและดูแลสภาพแวดล้อมให้ไม่มีลูกน้ำยุงลายนะคะ เพราะโรคนี้อันตรายมากจริง ๆ ซึ่งบทความนี้จะเป็นการแชร์ความรู้และประสบการณ์ส่วนตัวที่ป่วยเป็นโรคนี้ที่อยากมาเล่าให้ทุกคนได้ฟังกัน จะเป็นอย่างไร ติดตามกันได้เลยค่ะโรคไข้เลือดออก คืออะไร? โรคไข้เลือดออก (Dengue fever) เป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลัน ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) เชื้อไวรัสเดงกีมี 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 อาการของโรคไข้เลือดออกอาจแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของโรค ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรง แต่ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการรุนแรงจนเสียชีวิตได้ความรุนแรงของโรคโรคไข้เลือดออกสามารถแบ่งความรุนแรงออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ระยะไข้สูง (Fever phase) : ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดข้อหรือกระดูก หน้าแดง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ระยะนี้มักกินเวลาประมาณ 2-7 วันระยะวิกฤต (Critical phase) : ผู้ป่วยอาจมีอาการเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล ปัสสาวะ อุจจาระมีเลือดปน อาจมีภาวะช็อคจากไข้สูง หรือภาวะช็อกจากเลือดออกที่อวัยวะภายใน ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ระยะนี้มักกินเวลาประมาณ 24-48 ชั่วโมงการรักษาในปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคไข้เลือดออกโดยเฉพาะ การรักษาโรคไข้เลือดออกจึงเป็นการรักษาตามอาการและประคับประคอง โดยแพทย์จะพิจารณาให้การรักษาตามความรุนแรงของโรค ดังนี้ระยะไข้สูง : แพทย์อาจให้ยาลดไข้ ยาแก้ปวด ยาแก้คลื่นไส้ ยาแก้อาเจียน และยาน้ำเกลือเพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ระยะวิกฤต : ผู้ป่วยอาจต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล โดยแพทย์อาจให้การรักษาดังต่อไปนี้การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำและเกลือแร่การให้เลือดหรือเกล็ดเลือดทดแทนในกรณีที่มีภาวะเลือดออกรุนแรงการให้ยาความดันโลหิตสูงในกรณีที่มีภาวะช็อคโรคไข้เลือดออก มีอาการยังไง?อาการของโรคไข้เลือดออกมักปรากฏหลังจากถูกยุงลายตัวเมียกัดประมาณ 4-10 วัน อาการของโรคไข้เลือดออกมีดังนี้ไข้สูงเฉียบพลัน 38-40 องศาเซลเซียสปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยตามตัว ปวดข้อหรือกระดูกหน้าแดงคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหารอาจพบจ้ำเลือดหรือจุดเลือดออกสีแดงเล็ก ๆ ตามผิวหนัง หรือมีเลือดออกบริเวณอื่น เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน ปัสสาวะ อุจจาระมีเลือดปนโรคไข้เลือดออก เกิดจากอะไร?โรคไข้เลือดออกเกิดจากยุงลายตัวเมีย (Aedes aegypti) กัดคนที่มีเชื้อไวรัสเดงกีอยู่ในกระแสเลือด ยุงลายตัวเมียจะดูดเลือดคนที่มีเชื้อไวรัสเดงกีเข้าไป เชื้อไวรัสจะเข้าสู่กระเพาะและต่อมน้ำลายของยุง ยุงจะแพร่เชื้อให้กับคนอื่น ๆ ด้วยการกัดนั่นเองแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว เมื่อต้องเป็นไข้เลือดออก แต่คุณหมอเกือบหาไม่พบ?!เริ่มแรกของเราจะมีอาการไข้สูงนำมาก่อน วัดครั้งแรกได้ประมาณ 38 องศาเซลเซียส พร้อมกับมีอาการปวดหัว ปวดกระบอกตา ซึ่งบอกตามตรงว่าแค่อาการมาแค่นี้ก็ทำให้หวนนึกถึงโรคไข้เลือดออกขึ้นมาทันที เพราะเราเองเคยเป็นมาก่อนเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นอาการค่อนข้างหนัก แต่ด้วยครั้งนี้ไม่ได้รู้สึกว่าโดนยุงกัด ไม่ได้ออกนอกสถานที่บ่อย และไม่ได้รู้สึกป่วยมากนัก (ในช่วงแรก ๆ) ก็เลยชะล่าใจ คิดว่าคงจะเป็นการพักผ่อนน้อย หรือธาตุในตัวร้อนเพราะดื่มน้ำน้อย เรามีอาการไข้สูง 38-39+ องศาเซลเซียสอยู่ 7 วัน ตอนกลางคืนจะหนาวในมาก ห่มผ้าห่มหนาแค่ไหนก็ไม่หายหนาว ตอนนั้นรู้สึกทรมาณมาก เริ่มมีอาการปวดหัวหนักขึ้น กินพาราเซตามอน 500 mg ก็ไม่หายปวด แถมมีอาการปวดท้องเพิ่มเข้ามาอีก และยังมีเลือดที่ไม่ใช่ประจำเดือนออกจากช่องคลอด บวกกับเลือดกำเดาไหลด้วย ตอนนั้นบอกตามตรงว่าเริ่มสงสัยว่าเป็นไข้เลือดออกมากขึ้น ก็เลยไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลเราก็เล่าทุกอาการให้คุณหมอฟัง คุณหมอเขาก็สอบถามและฟังปอด ผลคือปอดปกติดี แต่ก็ยังฟันธงไม่ได้ว่าจะวินิจฉัยว่าอะไร ต้องทำการเจาะเลือด ปรากฏว่าผลออกมาคือติดเชื้อไวรัสเดงกี แต่คุณหมอก็บอกว่าผลของเรามันก็ยังวินิจฉัยไม่ได้ว่าใช่โรคไข้เลือดออกไหม เพราะผลนี้สามารถขึ้นได้กรณีที่เคยเป็นไข้เลือดออกมาแล้ว วันต่อมาคุณหมอเลยนัดเจาะเลือดอีก คราวนี้ตรวจ CBC เพื่อดูความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ปรากฏว่าเกล็ดเลือดของเราค่อนข้างต่ำ (ประมาณ 140,000 ซึ่งคุณหมอบอกว่ามันยังไม่ต่ำมาก ยังไม่ต้องแอดมิท) แต่ก็ยังนัดเรามาเจาะเลือดอีกทีวันรุ่งขึ้นเพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกล็ดเลือดต่ำ โดยคุณหมอให้ดื่มเกลือแร่ ORS และระวังไม่ให้กินอาหารสีดำแดง เพื่อไม่ให้สับสนว่าเป็นเลือดออกภายในร่างกายหรือสีของอาหารในวันถัดมาเกล็ดเลือดของเราเพิ่มขึ้นแล้ว และไม่ได้มีเลือดออกจุดไหน แต่ยังคงมีอาการปวดหัว เบื่ออาหารอยู่บ้าง แต่ก็มีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อย ๆ วันนี้คุณหมอก็วินิจฉัยว่าเราน่าจะเป็นโรคไข้เลือดออก ซึ่งโรคนี้ไม่ได้มียารักษาเฉพาะ ต้องเป็นการรักษาตามอาการเท่านั้น ซึ่งเราก็อาการดีขึ้นจนหายเป็นปกติในที่สุด ซึ่งส่วนตัวรู้สึกโชคดีมาก ๆ ที่ไม่ต้องแอดมิทและไม่มีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ เข้ามาวิธีการดูแลตัวเอง เมื่อเป็นโรคไข้เลือดออกแนะนำว่าถ้าใครมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ปวดตามเนื้อตัว ปวดหัว ปวดกระบอกตา ต้องระวังโรคไข้เลือดออกไว้เลย ให้ไปคุณหมอให้เร็วที่สุด เพราะถ้าช้าไปโรคนี้อาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรงจนเสียชีวิตได้ เมื่อเป็นแล้วคุณหมอจะให้กินเกลือแร่เพื่อป้องกันไม่ให้เราขาดน้ำ และทานยาแก้ปวดลดไข้ (พาราเซตามอน) เท่านั้น ห้ามกินแอสไพรินนะคะ เพราะยาตัวนี้อาจทำให้เลือดไหลไม่หยุดได้ อันตรายมาก ๆ แนะนำว่าให้ดื่มน้ำเยอะ ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ และพยายามเช็ดตัวเพื่อลดไข้ด้วย อย่าปล่อยให้ตัวร้อนตลอดนะ เรื่องอาหารที่ไม่ควรกินตอนป่วยเป็นไข้เลือดออก ก็เป็นพวกอาหารสีดำแดง เพราะอาจทำให้เราสับสนว่าเลือดออกในร่างกายหรือเปล่าตอนที่ขับถ่ายออกมา ดังนั้นช่วงที่ป่วยก็งดไปก่อนนะคะนอกจากนั้นพยายามอย่าให้ร่างกายมีเลือดออกนะ เช่น การแปรงฟัน คุณหมอของเราก็สั่งน้ำยาบ้วนปากให้ เพราะกลัวเลือดจะออกตามไรฟัน ช่วงนี้เพื่อน ๆ ก็งดแปรงฟันไปก่อนนะคะ แต่ถ้าใครที่อาการรุนแรงกว่านี้ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ค่ะวิธีป้องกันตัวเอง ไม่ให้เป็นโรคไข้เลือดออกโรคไข้เลือดออกเป็นมัจจุราชที่ร้ายมากในความคิดเรา มันเป็นโรคใกล้ตัวที่ไม่มียารักษา และหลายคนมักมองข้ามความอันตรายของยุง คิดว่าแค่ยุงกัดไม่น่าจะอันตรายอะไร แต่บอกเลยว่าโรคไข้เลือดออกคร่าชีวิตคนเป็นจำนวนที่เยอะมาก ๆ นะคะ แถมถ้าเป็นซ้ำ ความรุนแรงของโรคจะเพิ่มมากขึ้นด้วย ดังนั้นการป้องกันไม่ให้เป็นโรคไข้เลือดออก ถือว่าเป็นความคิดที่ดีมาก ๆ ค่ะ ซึ่งวิธีที่เราอยากแนะนำก็มีดังนี้กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เช่น อ่างน้ำ แจกันดอกไม้ ถังเก็บน้ำ ยางรถยนต์เก่า เป็นต้นทายากันยุง (ปัจจุบันมีทั้งโลชั่นกันยุง สเปรย์กันยุง สติ๊กเกอร์กันยุง) สวมเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกายให้มิดชิดนอนในห้องที่มีมุ้งกันยุงฉีดวัคซีนไข้เลือดออกติดต่อเจ้าหน้าที่เทศบาลให้มาฉีดพ่นยุงลายการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกวัคซีน Dengvaxia (CYD-TDV) : เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป วัคซีนนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ประมาณ 50-70%วัคซีน CYD-TDV : เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 9 ปีขึ้นไป วัคซีนนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ประมาณ 70-80%ส่วนตัวเห็นราคาวัคซีนไข้เลือดของรพ. เอกชน สองเข็มประมาณ 5,000 บาท เราคิดว่าถ้าใครมีกำลังทรัพย์พอ แนะนำให้ปรึกษากับคุณหมอและฉีดค่ะ เพราะมันช่วยป้องกันไม่ให้เรามีอาการรุนแรงได้ถ้าป่วยเป็นไข้เลือดออกบทความแนะนำhttps://intrend.trueid.net/post/401879ขอบคุณภาพหน้าปกภาพที่1: @amethyststudio / ภาพที่2: @surachet99 / ภาพที่3: @chiuu268044571 / ภาพที่4: @andrew-rybalkos-images / ภาพที่5: @creativephoneartขอบคุณภาพประกอบภาพที่1: @gettyimages / ภาพที่2: @gettysignature / ภาพที่3: @gettyimages / ภาพที่4: @thecorgi34 / ภาพที่5: @gettyimages / ภาพที่6: @gettyimages HASHTAG#ไข้เลือดออก #ป้องกันไข้เลือดออก #โรคไข้เลือดออกส่องที่เที่ยว พิกัดลับห้ามพลาด มุมถ่ายรูปสวยที่ทรูไอดีคอมมูนิตี้