( cr. pixabay ) ผู้หญิงกับความสวยงามนั้นเป็นของคู่กันค่ะ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย ผู้หญิงก็ยังคงคิดถึงความสวยความงามเป็นอันดับแรก แต่ในอดีตนั้น ค่านิยมได้เปลี่ยนผ่านตามกาลเวลา คนในแต่ละช่วงเวลาก็มีค่านิยมความสวยต่างกัน ขึ้นอยู่กับบริบทสังคม พอยุคเปลี่ยนค่านิยมก็เปลี่ยน ค่านิยมของสังคมหนึ่งอาจจะไม่ใช่อีกสังคมหนึ่ง ความงามเป็นสิ่งอุดมคติ แตกต่างกันไปแต่ละชนชั้น ชนชาติ ช่วงเวลา อย่าไรก็ตามสิ่งอุดมคติเหล่านั้นสะท้อนถึงความเป็นมาเป็นไปสังคมในแต่ละยุค วันนี้เราจะมาส่องความงามแต่ละยุค แต่ละสมัย ย้อนไปไกลถึงสมัยอียิปต์โบราณสามพันปี จะมีอะไรบ้างตามมาดูกันค่ะ แต่แน่ ๆ คือ ผู้หญิงเราไม่เคยหยุดสวยค่ะ อียิปต์โบราณ ( 3000 ปีก่อนคริสตกาล ) ( cr. pixabay ) สมัยอียิปต์โบราณนั้นผู้หญิง รวมไปถึงผู้ชายจะโกนผมเพื่อป้องกันหมัด เหา เนื่องจากภูมิอากาศของอียิปต์ที่ร้อนแบบทะเลทราย นอกจากนั้นผู้หญิงอียิปต์นั้นชื่นชอบผมบลอนด์ สีทอง เนื่องจากสีทองนั้นดูมีคุณค่า มีราคา รวมถึงคนอียิปต์นั้นจะผมสีดำเข้ม ผิวเข้ม สิ่งที่ไม่มีในสังคมจึงเป็นความงามในอุดมคติที่คนชื่นชอบ คนอียิปต์มักจะแต่งหน้าสีสันต่าง ๆ มักจะเห็นได้ตามผนัง รูปวาดของโบราณสถานที่หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน จะเห็นว่าผู้หญิงจะเขียนขอบตาเข้ม ทาสีสันบนเปลือกตา เครื่องสำอางส่วนใหญ่ได้มาจากแร่ธาตุตามธรรมชาติ รวมถึงพืชธรรมชาติที่นำมาสร้างสีสันให้กับการแต่งหน้า คนอียิปต์ยังชื่นชอบการพรมน้ำหอม น้ำหอมทำมาจากพืชพันธ์ ดอกไม้ต่าง ๆ กลิ่นเย้ายวลทำให้ผู้หญิงดูมีสเน่ห์และสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นนั้นเองค่ะ 2. ยุคกรีกโบราณ ( 800 ปีก่อนคริสตกาล ) ( cr. pixabay ) ยุคกรีกนั้นเป็นยุคที่เฟื้องฟูในเรื่องศิลปะ วัฒนธรรม ถ่ายทอดมาผ่านรูปวาดใบขวด โถ ที่เราสามารถเห็นได้ตามพิพิธภัณฑ์ คนในสมัยกรีกโบราณชื่นชอบผู้หญิงที่มีน้ำมีนวล ผิวขาว และผมบลอนด์ หรือสีอ่อน การที่มีรูปร่างอวบ ๆ มีน้ำมีนวลหน่อย บ่องบอกว่ามีกิน มีฐานะ ผู้หญิงจึงไม่ปล่อยตัวให้ผอมโซกันค่ะ 3. ยุคเรเนสซอง ( Renaissance : 1400-1600 ) ( cr. pixabay ) ยุคเรเนสซองส์ หรือ ยุคเปลี่ยนผ่านมาจากยุคกลาง ( Dark age ) หลังศรตวรรษที่ 15 ค่านิยมยังไม่เปลี่ยนไปมาก แต่ยุคนี้ถูกเรียกว่า ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ศูนย์กลางอยู่ในประเทศอิตาลีค่ะ จะเห็นชัด ๆ ว่ามีศิลปินชื่อดังหลายคนได้เกิดขึ้นในสมัยนี้ เช่น ดาวินชี เป็นต้น ภาพวาดผู้หญิงในสมัยนี้ก็จะดูมีน้ำมีนวล ผิวขาว หน้าอกกว้าง มีแก้ม และมีพุงด้วยจะยิ่งดีเลย ซึ่งผมบลอนด์ก็ยังเป็นที่นิยมค่ะ จะเห็นว่าค่านิยมความสวยที่เกี่ยวกับลักษณะมีน้ำมีนวล จะสื่อถึงสภาพที่สังคม ฐานะ ความร่ำรวย ผู้หญิงต้องอวบ ๆ ถึงจะสวย แสดงว่าเธอนั้นมีกินค่ะ 4. ยุควิคเตอเรีย ( 1800-1900 ) ( cr. wikipedia ) ยุควิคเตอเรียในยุโรปนั้นจะชื่นชอบผู้หญิงที่มีน้ำมีนวล อกใหญ่ ผิวขาว แต่ว่า… เอวต้องเล็กค่ะ เล็กขอด ตามพิมนิยม ค่านิยมนี้ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า คอร์ซิต ( Corset ) ที่รัดเอวเพื่อให้มีเอวที่เล็ก กิ่ว เป็นนาฬิกาทราย กระโปรงสุ่มใหญ่บ่งบอกความเป็นผู้หญิง รวมไปถึงผมต้องยาวค่ะ แฟชั่นคอร์ซิตเอวเล็กนั้นทำให้ผู้หญิงเสียชีวิตหลายคนเนื่องจากอวัยวะเลื่อนต่ำลง กระดูดผิดรูป เดิน นั่งลำบาก แต่ก็ยังเป็นค่านิยมที่สังคมกำหนดไว้ว่าสวยงามในยุควิคเตอเรียค่ะ 5. ยุคจีนโบราณ ( ราชวงศ์ถัง ศตวรรษ 600-900 ) ( cr. wikipedia ) ค่านิยมจีนในสมัยโบราณนั่นจะชื่นชอบผู้หญิงอวบ ผิวขาว แสดงถึงความมีฐานะ ไม่ยากจน มีอันจะกิน และที่สำคัญ เท้าเล็กแบบกลีบบัว ดูน่ารัก น่าทะนุถนอม หากหญิงใดมีเท้าใหญ่บ่งบอกว่าต้องทำไร่ทำนา ไม่มีอันจะกิน ผู้หญิงจีนจึงมีค่านิยมมัดเท้า พันเท้าให้เป็นรูปกลีบบัว นอกจากเท้านั้น ผู้หญิงจีนในสมัยโบราณชื่นชอบ ผู้หญิงผิวขาวดั่งไข่ปอก คิ้วเข้ม และผมยาวดำขลับ ตามตำราจีน ผู้หญิงผิวเข้มนั้นเปรียบเสมือนคนยากจน ยากไร้ ต้องทำงานอยู่ในไร่ ดังนั้นผู้ชายจะชื่นชอบผู้หญิงผิวขาว อวบ มีน้ำมีนวล ผมดำสลวยค่ะ