สัญญาณเตือนสั่งเสียฝากฝังและสั่งลา (บทความสุขภาพจิต) ภาพจาก Victoria_Borodinova / pixabay ผู้เขียนรับมือกับมานิตซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้ารายหนึ่งมานานนับเดือน เริ่มจากแม่ของเขาโทรมาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดีที่จะให้มานิตได้รับประทานยา เพราะแม่เขาสังเกตุอาการพบว่ามานิตมีอาการซึมเศร้าเก็บตัวไม่คบค้าสมาคมกับใครในระยะสองสัปดาห์ที่ผ่านมา และเมื่อผู้เขียนสอบถามถึงประวัติการรักษาโรคซึมเศร้า ปรากฏว่ามานิตเคยเข้ารับการรักษาโรคซึมเศร้าที่โรงพยาบาลจิตเวชแห่งหนึ่งเมื่อสองปีที่ผ่านมา และครั้งนั้นเขายังบอกกับแม่เขาเลยว่าเมื่อได้รับประทานยาแล้วจิตใจปลอดโปร่งและรู้สึกดีขึ้นมากเลย แต่หลังจากนั้นมาเกือบสองปีลูกชายก็ไม่ได้รับประทานยาอย่างต่อเนื่องอีกเลย จนกระทั่งมาปรากฏอาการอีกครั้งในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา มานิตไม่ยอมไปโรงพยาบาลและปฏิเสธที่จะรับการรักษา แม้ว่าแม่และคนรักของเขาจะชี้ชวนและโน้มน้าวอย่างไรก็ตาม ผู้เขียนจึงแนะนำให้แม่ของเขาไปซื้อยาให้ที่โรงพยาบาลจิตเวชที่เขามีประวัติเคยเข้ารับการรักษา เพื่อนำไปให้ลูกรับประทาน แต่ปรากฏว่าลูกชายก็ไม่ยอมรับประทานยาได้แต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องนอน ผู้เขียนบอกให้แม่ของเขาถามเขาว่าเขามีความคิดอยากทำร้ายตัวเองหรือจะฆ่าตัวตายหรือหรือเปล่า ลูกชายตอบแม่ว่า “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับแม่” แต่ ! เมื่อเวลาผ่านมาอีกสองสัปดาห์ แม่ของมานิตก็ได้โทรศัพท์หาผู้เขียนและบอกว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาลูกชายได้สื่อสารทางไลน์ถึงแฟนของเขาว่า “ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วขอฝากแม่และลูกด้วย” แม่ของมานิตจึงรีบโทรศัพท์มาบอกกับผู้เขียน นั่นคือจุดตัด(cut point)ที่ผู้เขียนต้องรีบตัดสินใจช่วยเหลืออย่างฉับพลันทันทีด้วยทุกวิถีทาง เพื่อให้มานิตได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชอย่างฉับไวในที่สุด เพราะสัญญาณเตือนสื่อสารสั่งเสียฝากฝังและสั่งลาได้ปรากฏขึ้นแล้วนั่นเอง ภาพจาก : ArtWithTammy /pixabay ผู้ที่คิดจะฆ่าตัวตายจะสื่อสารทำนองสั่งเสียฝากฝังและสั่งลาแทบทุกราย เช่น “ผมไม่อยู่แล้วขอฝากลูกด้วยนะ” “พี่ทนทุกข์มานานไม่ไหวแล้วพบกันชาติหน้าแล้วกัน” หรือ “ฝากดูแลแม่ด้วยไม่ขอมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว” เป็นต้น ผู้เขียนย้ำเตือนเรื่องนี้กับผู้เข้าอบรมเรื่องการป้องกันการฆ่าตัวตายเสมอว่า ทันทีที่ได้รับทราบสัญญาณเตือนสื่อสารสั่งเสียฝากฝังและสั่งลานั้น ต้องใส่ความหมายว่าเขาจะทำจริง ไม่ใช่ล้อเล่นหรือเรียกร้องความสนใจ แต่กำลังร้องขอความช่วยเหลือต่างหาก เพราะการคิดเช่นนั่นจะทำให้เราช่วยเหลืออย่างฉับพลันทันทีนั่นเอง สัญญาณเตือนดังกล่าว หากเปรียบเทียบกับคนไข้ไส้ติ่งอักเสบก็ถึงขั้นไส้ติ่งแตกแล้วเจ็บปวดและโอดครวญจนต้องพาไปโรงพยาบาลทันทีนั่นเอง ในขณะที่สัญญาณเตือนสั่งเสียฝากฝังและสั่งลานั้นเป็นอาการขั้นสุดท้ายของคนที่คิดจะฆ่าตัวตาย จึงต้องช่วยอย่างฉับพลันทันทีเช่นหมอต้องรีบพาผู้ป่วยใส้ติ่งอักเสพแตกเข้าห้องผ่าตัดทันทีนั่นเอง เพราะจากประสบการณ์ทำงานของผู้เขียนและการวิจัยที่ผ่านมาพบว่า คนที่ฆ่าตัวตายสำเร็จนั้น สาเหตุหนึ่งเกิดจากการช่วยเหลือที่ล่าช้าเพราะไม่เชื่อว่าเขาจะฆ่าตัวตายจริงนั่นเอง เมื่อได้ยินสัญญาณเตือนสื่อสารสั่งเสียฝากฝังและสั่งลา ผู้ใกล้ชิดต้องช่วยแบบฉับพลันทันทีหรือฉับไว เคยมีผู้เข้าอบรมหลายคนมักถามผู้เขียนว่า “ต้องฉับไวขนาดไหน” ผู้เขียนก็ตอบไปว่า “ฉับไวเช่นเดียวกับเมื่อคุณเห็นว่าแม่ของคุณถูกงูเห่ากัดแล้วคุณช่วยฉับไวขนาดไหนก็ขนาดนั้นแหละครับ” หมายความว่าต้องฉับไวจริงๆ และการที่จะช่วยได้อย่างฉับไวนั้น ขอย้ำว่าต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้อง นั่นคือเข้าใจว่า สัญญาณเตือนคือการร้องขอความช่วยเหลือมิใช่เรียกร้องความสนใจ และต้องใส่ใจว่าเขาจะทำจริงๆไม่ใช่ล้อเล่น และผู้ที่ทุกข์ใจจนถึงขั้นจะฆ่าตัวตายนั้นไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่เขาได้พยายามต่อสู้ทางจิตใจมาอย่างที่สุดแล้วต่างหาก ภาพจาก : HASTYWORDS / pixabay ซึ่งทุกฝ่ายที่รับรู้พึงต้องเอาใจใส่และช่วยเหลือร่วมกัน เพื่อลดอัตราการฆ่าตัวตายลงให้ได้ อนึ่งในปี 2563 สถิติคนฆ่าตัวตายสำเร็จทั่วโลกประมาณแปดแสนคนนั่นคือทุกๆ 40 วินาทีจะมีคนฆ่าตัวตายสำเร็จหนึ่งคน สำหรับในประเทศไทยมีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จปีละประมาณสีพันกว่าคน นั่นคือทุกๆ 2 ชั่วโมงจะมีคนฆ่าตัวตายสำเร็จหนึ่งคน นอกจากนั้นยังมีผู้พยายามฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จอีกปีละห้าหมื่นสามพันคน เฉลี่ยชั่วโมงละหกคน ซึ่งปัญหาการฆ่าตัวตายนี้ถือว่าเป็นปัญหาสำคัญที่สุดในทางสุขภาพจิต ใครบ้างที่จะช่วยป้องกันปัญหาการฆ่าตัวตายได้ คำตอบคือทุกๆคนสามารถช่วยได้ ด้วยการดูแลจิตใจตัวเองและผู้ที่อยู่ใกล้ชิดมั่นสังเกตดูว่ามีการสูญเสียใดๆในชีวิตจนปรับตัวไม่ได้เกิดความเครียดและอาการซึมเศร้าจนถึงขั้นมีความคิดจะฆ่าตัวตายหรือไม่ ถ้าสงสัยก็ให้ถามได้ตรงๆว่า “คุณมีความคิดจะฆ่าตัวตายหรือไม่” เพราะการถามตรงไปตรงมาเช่นนี้ไม่ใช่การชี้โพรงให้กระรอก แต่เป็นเพียงการซักถามอาการป่วยเหมือนโรคทั่วๆไปนั่นเอง ถ้าคนที่ไม่คิดจะฆ่าตัวตายเขาก็จะบอกว่าไม่คิดเช่นนั้น แต่คนที่มีความคิดอยากฆ่าตัวตายเขาก็จะบอกว่าเขาคิดเช่นนั้น เมื่อรู้แล้วจะได้ช่วยเหลือกันอย่างฉับไวต่อไป ภาพจาก : PublicCo / pixabay ขอให้ทุกๆท่านช่วยเหลือกันในครอบครัวและสังคม ด้วยการสังเกตตัวเองและผู้ใกล้ชิดว่า ใครที่สื่อสารสัญญาณเตือนสั่งเสียฝากฝังและสั่งลา ก็ให้รีบเข้าหาด้วยการตั้งใจรับฟังความทุกข์ของเขาและรีบพาไปรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชอย่างฉับพลันทันที ดังที่ผู้เขียนได้กล่าวย้ำมาตลอดบทความนี้ ก็จะสามารถช่วยคนใกล้ชิดที่คิดจะฆ่าตัวตายให้รอดพ้นจากภัยทางจิตใจได้ในที่สุดภาพปก : Free_Photos / pixabay รศ.ดร.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์ นักวิชาการสื่อสารสุขภาพจิตและศาสนาปรัชญา นักเขียนสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,มติชน,อมรินทร์ธรรมะ,ซีเอ็ด,ดีเอ็มจีและวิชบุ๊คประธานสถาบันพัฒนาคุณภาพมนุษย์wuttipong academy,ไอดีไลน์ ac6556เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !