ทำอะไรอยู่? คำถามนี้อาจแฝงไปด้วยความปรารถนาดี แต่กับคนที่เพิ่งคุยกันได้ไม่นาน หรือความสัมพันธ์เพิ่งเริ่มต้น คำถามทำนองนี้ออกจะฟังแล้วชวนถอนหายใจไปสักหน่อย จึงมีคำถามขึ้นมาว่า "แล้วจะหาเรื่องคุยกับคนที่ชอบยังไงดีล่ะ" คำถามนี้วนเวียนอยู่รอบตัวเสมอตั้งแต่ผมยังเด็กจนโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการคุยผ่านข้อความ แชตหรือโทรหากันคราวนี้ผม MJ. จึงอยากลองแนะนำวิธีการเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดจากการสำรวจตัวเอง และคนรอบข้างให้ออกมาเป็นทริคแบบกระทัดรัด แต่ต้องบอกเลยว่าผมเองไม่ใช่กูรูความรัก ทั้งหมดคือประสบการณ์ส่วนตัวที่เอาส่วนดีส่วนด้อยมาเปรียบเทียบ หาวิธีที่ได้ผลในแบบของตัวเอง และวิเคราะห์ออกมาจนเป็นบทความฉบับนี้ซึ่งคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อความสัมพันธ์แรกเริ่ม ว่าแล้วไม่รอช้า มาเริ่มเลยนะครับ 1. เลือกเปิดบทสนทนาที่พาอีกฝ่ายออกมาจากกิจวัตรประจำวันอย่างคำถามที่กล่าวข้างต้น กินอะไรยัง ทำอะไรอยู่ หลายคนมองว่าควรใช้ให้น้อยที่สุดกับความสัมพันธ์ที่เพิ่งเริ่มครับ เนื่องด้วยอีกฝ่ายอาจยังไม่อยากเปิดเผยทุกแง่มุมของชีวิต คำถามเหล่านี้จึงดูน่าเบื่อ และไม่ค่อยดึงดูดให้เกิดบทสนทนานักอย่าง "กินอะไรยัง?" ถ้าจบตรงนี้ก็ไม่มีอะไรคุยต่อ แต่ถ้าไม่จบก็จะนำไปสู่การละลาบละล้วงครับ เพราะอีกฝ่ายก็พอจะเดาคำถามเราได้แล้วว่า "กินอะไร?" "ชอบไอ้นี่ ชอบไอ้นั่นเหรอ?" ไม่ควรเลยครับ มื้ออาหารไม่ได้มีความพิเศษไปทุกมื้อ ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้บังเอิญทานสเต๊กร้านหรู หรือบุฟเฟต์ตึง ๆ คนตอบก็คงไม่ได้อยากตอบ และบทสนทนาจะกลายเป็นความอึดอัดเสียมากกว่าเช่นเดียวกับถามว่าทำอะไร คำถามพวกนี้ต่อให้อีกฝ่ายสนใจเรา ก็คงต้องแอบคิดนาน หรือถ้าไม่ได้ชอบนี่ยิ่งแล้วใหญ่ ตอบส่ง ๆ หรือไม่ตอบเลย เรียกว่าพังทั้งขึ้นทั้งล่อง ดังนั้นอะไรที่เป็นกิจวัตรพวกนี้แทนที่จะถามตรง ๆ ควรคุยกันไปสักระยะจนกว่าเค้าอยากเล่าให้เราฟังเอง หรือเราเล่าให้อีกฝ่ายฟังก่อนจะดีที่สุดครับแล้วถามอะไรได้บ้างล่ะ ช่วงแรกมีเยอะแยะเลยครับ ลองคาดเดาความสนใจของอีกฝ่าย แล้วพลิกแค่นิดเดียวก็ได้เรื่องคุยแล้ว อย่างแทนที่จะถามว่า "กินอะไรรึยัง?" ลองพลิกเป็น "ชอบกินบุฟเฟต์ไหม?" "เคยกินแซลมอนร้าน A รึเปล่า?" จะเห็นได้ว่าประเด็นของคำถามไม่ได้อยู่ที่ตอนนี้กินอะไร แต่เป็นทะเลของบทสนทนาที่กว้างกว่าชีวิตประจำวันไปแล้ว เพราะเราคงไม่ได้กินบุฟเฟต์ หรือแซลมอนกันทุกวันใช่ไหมล่ะครับ คำถามพวกนี้อีกฝ่ายมักจะรู้สึกสบายใจที่จะตอบมากกว่า เพราะคำตอบจะไปในทางความเห็น ต่อให้ไม่ชอบทานหรือไม่เคยทานก็ไม่ได้ทำให้บทสนทนาดูน่าเบื่อ และต่อบทได้เป็นธรรมชาติกว่าครับ 2. ลดคำถามลง เปิดเผยตัวเองให้มากขึ้น ให้อีกฝ่ายได้จดจำเราบ้างอันนี้หลายคนคงเป็น ถามนู่นถามนี่แต่ไม่ค่อยพูดเรื่องของตัวเองเท่าไหร่ บางคนคงคิดว่าก็เค้าไม่ถามอะไรเรานี่ ใช่ครับแต่ลองคิดในเชิงการสื่อสาร ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ อีกฝั่งจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเราเลย แล้วความผูกพันจะไม่ตามมากลับกันยิ่งเราถาม เราก็รู้จักเขามากขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นว่าเราเองต่างหากที่ไปยึดติดกับเขาแทน สุดท้ายอีกฝ่ายเบื่อที่จะตอบแล้ว เพราะไม่ได้ข้อมูลอะไรใหม่ ๆ มาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ไม่มีสตอรีให้ติดตาม หากใครชอบดูซีรีส์ก็คงพอเข้าใจครับ ยิ่งรู้จักตัวละครเท่าไหร่ เราก็จะผูกพันกับอีกฝ่ายมากขึ้น และอยากติดตามต่อไปไม่รู้จบบางคนคงบอก แต่ฉันไม่มีอะไรน่าสนใจเลยนะ จะไปเล่าอะไรให้เค้าฟัง น่าเบื่อออก ซึ่งการคิดแบบนี้ส่วนตัวคิดว่าไม่ถูกต้องครับ ชีวิตทุกคนมีแง่มุมที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยยังไง เลี้ยงสัตว์ก็แนะนำสัตว์เลี้ยงให้รู้จัก ทำงานก็บอกว่างานเป็นไงบ้าง คืบหน้าไปถึงไหน เคยมีแฟนก็ลองแชร์ประสบการณ์ความรักในอดีตให้ฟัง ร้านอาหารที่ชอบ ซีรีส์ที่เคยรับชม เป็นต้นสรุปแล้วบางครั้งอีกฝ่ายเพียงต้องการเรื่องราวที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เท่านั้นก็ช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดได้ระดับนึงแล้ว ทั้งนี้ถ้าคิดโกหกหรือโม้แต่ข้อดีของตัวเองนี่ไม่ได้เลยนะครับ เพราะต่อให้ช่วงแรกเขาจะสนใจ แต่หากคิดถึงระยะยาวยังไงก็ไม่คุ้มครับ ซึ่งผมจะขยายความให้ในข้อถัดไป 3. อย่าโม้เรื่องตัวเองเยอะไป ทำให้เค้าอยากศึกษาคุณเองโม้ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่การโกหกนะครับ แต่นับรวมทุกอย่างเลยทั้งการอวดตน พูดแต่ข้อดี สงวนข้อเสีย การโม้ส่งผลเสียกับความสัมพันธ์ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเชื่อหรือไม่ อย่างถ้าเชื่อ อีกฝ่ายก็จะสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปเพราะรู้สึกด้อยกว่า หรือถ้าไม่เชื่อก็ตรง ๆ เค้าจะหาว่าคุณขี้โม้นั่นแหละส่วนตัวคิดว่าไม่มีใครอยากเป็นคนขี้โม้หรอกครับ แต่บางทีเราอาจทำไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้ แน่นอนว่าเวลาคุยกับคนที่ชอบ ใครก็อยากดูดี ดูหล่อ สวยในสายตาอีกฝ่ายเสมอ จนบางครั้งเราอาจเผลอพูดเข้าข้างตัวเอง แล้วข้ามวันแย่ ๆ หรือเรื่องไม่ดีไปเฉย ๆ ทางที่ดีควรทำตัวให้เป็นธรรมชาติ อย่าตื่นเต้นมากเกินไป ไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะดูถูกเรา ถ้าเราต้องการความสัมพันธ์ระยะยาว การค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปและจริงใจกับอีกฝ่ายเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ แล้วจะทำยังไงให้เค้าอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับเรา? ส่วนนี้อาจจะแล้วแต่เสน่ห์ของแต่ละบุคคล แต่ถ้าเน้นเรื่องการพูดคุยเพียว ๆ คงเป็นการจัดเรียงเรื่องราวในแบบของคุณเองที่น่าสนใจ ซึ่งจะกล่าวในข้อต่อไปครับ 4. เรื่องราวที่ดีไม่ได้มีแต่สีชมพู ว่าด้วยทฤษฎี Binary Opposites ของ Levi Strauss มาเข้าสู่การสนทนาเป็นจริงเป็นจัง ว่าด้วยคุยยังไงไม่ให้ดูโม้หรือเพิ่มความน่าสนใจให้เค้าจดจำเราได้ล่ะ ตรงนี้ผมขอยกทฤษฎี Binary Opposites ของ Levi Strauss (ไม่ใช่กางเกงยีนส์นะ) นักมนุษยวิทยาและชาติพันธุ์วิทยาฝรั่งเศสมาใช้ ว่าด้วยเรื่องราวที่ดีและน่าสนใจมักจะมีขั้วตรงข้ามเฉลี่ยพอ ๆ กันเสมอ มีตัวดีก็มีตัวร้าย มีขั้วบวกขั้วลบ หนุ่มสาวได้มาพบกันในคืนร้าวราน... เพราะการฟังเนื้อหาที่มีด้านเดียวมันไม่สนุกครับ แถมไม่สมจริงด้วยที่จะแนะนำคืออย่าหาแต่ข้อดีมาพูด แต่ให้มองข้อเสียของตัวเองด้วยเพื่อเป็นการลดอีโก้ส่วนตัวลง ส่วนคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองก็ควรมองข้อดีของตัวเองบ้างไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน เป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง ว่าง่าย ๆ รักษาสมดุลด้านบวกและด้านลบของตัวเอง เช่น แทนที่จะพูดแต่ความสำเร็จ ก็ใส่เรื่องความเปิ่น ความอ๊องของตัวเองเอาไว้บ้าง จะทำให้คุณเป็นคนที่ดูน่าสนใจได้ครับที่สำคัญคือเราสามารถใช้ Binary Opposites มองอีกฝ่ายได้ด้วย เวลาที่เราหลงรักใครมาก ๆ เราจะมองแต่ข้อดีของอีกฝ่ายจนมองข้ามข้อเสียของคู่สนทนาไปจนหมด ทำให้ภาพของคนที่เราชอบดีกว่าที่เป็นอยู่ การนำแนวคิดดังกล่าวมาเตือนสติตัวเองทำให้เราไม่หลงไปกับการเชิดชูอีกฝ่ายมากไป และไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเราเป็นของตายด้วยครับอย่าเพิ่งว่าผมนะครับว่าเอาชีวิตจริงมาเทียบกับสื่อบันเทิงได้ไง แต่ในความเห็นส่วนตัว ความรักเป็นเรื่องความรู้สึกครับ แล้วสื่อที่สร้างความรู้สึกร่วมให้กับผู้ชมได้ก็จัดว่าเป็นสื่อที่ดี จึงได้ยกทฤษฎี Binary Opposites มาเป็นต้นแบบบทสนทนาที่พาไปสู่ความรู้สึกที่ดีต่อกันนั่นเอง 5. ผสมสัดส่วนของทั้งสี่ข้อให้ได้ในแบบของตัวเอง ไม่ใช่ว่าทุกคนเป็นหุ่นยนต์ที่จะทำตามแบบแผนได้ตลอดเวลา 4 ข้อที่แนะนำมานี้เป็นเพียงหลักในอุดมคติของผมเท่านั้น อาจเพิ่มมาก ลดลงได้เสมอ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยส่วนตัวของทุกคนเองที่จะนำไปปรับใช้ตามความเหมาะสมตัวอย่าง ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบพูด ชอบสนทนาอยู่แล้วอาจลองพิจารณาบทสนทนาของตัวเองเวลาที่ตัวเองพูดคุยดูว่ากำลังตัดบทคู่สนทนาขณะพูดคุยหรือไม่ ลองสลับจากการพูดไปเป็นการฟังอีกฝ่าย หรือถามความเห็นดูบ้างก็เป็นสิ่งที่จะทำให้ทั้งคุณและคู่สนทนาได้รับประโยชน์หรือถ้าเป็นคนพูดน้อยชอบฟังก็ลองลิสต์สิ่งที่ตัวเองสนใจและพูดได้ดูก่อน การที่เป็นคนชอบฟังมากกว่าพูดก็มีความได้เปรียบตรงที่มีข้อมูลกว้างขวาง เพียงแต่ไม่ได้เรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาเป็นคำพูดเท่านั้น ลองเขียนประเด็นที่จะพูดลงในมือถือ หรือกระดาษดูก็ได้ แต่อย่าลืมหลัก 4 ข้อก่อนหน้านี้นะ แล้วลองเปิดบทสนทนาดูครับทิ้งท้าย การตัดใจและมูฟออนก็เป็นสิ่งที่น่านับถือถ้าทุกสิ่งที่คุณทำมามันไม่ได้ผลล่ะ สิ่งที่ผมพอจะแนะนำได้คงไม่มากไปกว่าการขอให้คุณก้าวออกมา และไปหาโอกาสใหม่ ๆ จะเป็นการดีกว่าทั้งกับตัวคุณและคู่สนทนาครับ เราควรพึงระลึกด้วยว่าเราต้องการคนที่รักเราแค่คนเดียว การที่คุณยังไม่มีคนคุยตอนนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณล้มเหลวกับความรัก หรือการมีคนคุยหลายคนก็ไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จเช่นกันสิ่งสำคัญคือเมื่อถึงวันที่คุณได้คบหากับคนที่รักขึ้นมาจริง ๆ และคิดที่จะครองคู่ คุณจะรักษาความรักเพียงหนึ่งเดียวไว้ได้หรือไม่ สิ่งนั้นคือคุณค่าที่สังคมเรายอมรับครับ ทุกรูป วาด และตกแต่งโดยผู้เขียนติดตามผู้เขียนบน Facebook (เกม อนิเมะ หนัง ซีรีส์)ติดตามผู้เขียนบน Twitter ทุกเรื่องราวที่เขียนได้เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !