แชร์ประสบการณ์เฉียดตาย ความดัน 200 กว่า กับจุดเปลี่ยนชีวิตที่ทำให้น้ำหนักลดกว่า 20 โลสวัสดีค่า ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนนะคะ เราเป็นสาวอวบตั้งแต่เด็ก โตขึ้นมาก็จำได้เลยว่าอ้วนค่ะ ไม่มีการจำความว่าผอมได้เลย T^T ตอนเด็กๆ ตัวอ้วนกลมเป็นชั้นๆ เป็นหนูน้อยมิชลินทุกคนก็ชมว่าน่ารัก เดี๋ยวโตขึ้นตัวก็ยืดลูก แต่พอประถม มัธยม มหาลัย จนเรียนจบ มีแต่ยืดออกๆค่ะ ไม่มียืดขึ้นเลย ><พฤติกรรมเราตั้งแต่เด็กคือเราชอบกินของหวานค่ะ ขนม เบเกอรี่ต่างๆ นี่ของโปรดมาก ประกอบกับเป็นคนที่ไม่ออกกำลังกายเลย ขี้เกียจมากก สกิลด้านการออกกำลังกายเป็น 0 ค่ะ จะเต้นทีขาแขนพันกันไปหมด เลยกินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน น้ำหนักเฉลี่ยของเราตอนโตคือประมาณ 68-75 กิโลกรัมค่ะพอเรียนจบทำงานสักพัก เราก็ตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ ขอบอกว่าที่นั่นเราเดินเยอะมากก เดินจนน้ำหนักลดลงนิดนึง พ่อแม่พี่น้องทักกันเกรียวว แต่ๆๆๆชั้นยังหาทำค่ะ ไปซุปเปอร์ซื้อ สโคน ไอติมมาตุนไว้ทุกอาทิตย์ Ben & Jerry นี่กินเกือบทุกคืน ของโปรดดด ทำงานเครียดก็กิน ถึงจะเดินเยอะ แต่น้ำหนักไม่ลดค่ะ เพราะพฤติกรรมการกินของเรา >< ไปเรียน? ไปสรรหาของกินจ้าา > <ตอนอายุประมาณ 31 ปี กลับไทยมาแล้ว คุณแม่เราก็ชวนไปตรวจสุขภาพค่ะ ต้องบอกก่อนว่าตอนทำงานแรกๆ เราเคยไปวัดความดัน ตัวบน 160 กว่า ตัวล่าง 100 กว่า ในวัย 23 ปี แต่ตอนนั้น เราโนสน โนแคร์ค่ะ คิดว่าเรายังอายุน้อย มาออกกำลังกาย ไม่ยอมกินยา ไม่หาหมอต่อ ปล่อยไว้อย่างงั้น จนลืมไปเลย คิดว่าแค่ความดันชั้นคงไม่ตายหรอก จนกระทั่งแม่มาทักค่ะ ว่าวัดความดันบ้างไหม บอกตามตรงตอนนั้นเราก็กลัวนะคะ ใจลึกๆคือถ้าความดันสูงจะยังไง ชั้นไม่กล้า แต่แม่ก็เคี่ยวเข็ญ จนยอมไปรพ.เอกชนแห่งหนึ่งค่ะถึงรพ.ไปวัดปุ๊บ เอาเลยค่ะ เรียบร้อย ความดันตัวบน 210 กว่า ตัวล่าง 110 กว่า OMG พยาบาลหันมามองหน้า “คนไข้เหนื่อยไหมคะ เพิ่งเดินมาไหม นั่งพักแล้วมาวัดใหม่นะคะ” โอเค ชั้นนั่งพัก ตื่นเต้น ใจเต้นตุบๆ เหงื่อแตกพลั่ก เอาแล้วว ยังไงเนี่ย ความดัน 200 ฮือออ ผ่านไป 10 นาที กลับไปวัดใหม่ ความดันไม่ลดลง แถมเพิ่มขึ้นด้วย โอเค เกิดความวุ่นวายแถวหน้าโต๊ะพยาบาลเลยค่ะ พยาบาลซุบซิบกัน และโทรเรียกรถเข็นทันที ห้ามชั้นขยับเขยื้อนใดๆ กลัวน็อกตายก่อน และรถเข็นก็พาเราไปห้องฉุกเฉิน ท่ามกลางสายตาอากง อาม่าที่นั่งมองว่าอีหนูนี่ความดัน 200 กว่า >< อวบระยะสุดท้ายถึงห้องฉุกเฉิน คุณหมอก็มาวัดความดันใหม่ค่ะ ตรวจโน่นนี่ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ จับเราเจาะเลือด และพีคสุดคือวัดความดันที่ขา ซึ่งเจ็บมากก T^T นอนพักสักพัก หมอก็คุยกับเราค่ะ ว่าผลเลือดปกติดี เราอายุยังน้อยมาก ความดันไม่น่าสูงขนาดนี้ ต้องหาสาเหตุ หมอเลยสั่งยาให้เรากินก่อนค่ะ และนัดเรามาตรวจใหม่ โดยจะนัดอัลตร้าซาวด์ไตก่อนอาทิตย์หน้า ซึ่งค่าใช้จ่ายสูงพอสมควร เราเลยขอไปรพ.ตามสิทธิประกันสังคมแทนค่ะอาทิตย์ถัดไป เราไปรพ.รัฐตามสิทธิ ซึ่งพอวัดความดันปุ๊บ เหมือนเดจาวู พยาบาลมองหน้า เพราะชั้นความดัน 200 กว่า อีกแล้ว พยาบาลโทรเรียกเตียงเข็นเลยทีนี้ เข็นเราไปแผนกอายุรกรรมอย่างด่วน พอหมอมาก็เหมือนเดิม จับเราตรวจเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ให้ยาลดความดัน หมอก็เหมือนเดิมค่ะ บอกว่าเราอายุยังน้อย ความดันขนาดนี้ต้องมีสาเหตุ ซึ่งหมอจะส่งเราไปตรวจหลายแผนกค่ะ โดยการนัดหมอแต่ละแผนกต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนเนื่องจากเป็นรพ.รัฐในช่วงเดือนนั้น เราไปหาหมอทุกอาทิตย์นะคะ และใช่ค่ะ ยาที่ให้ไปไม่ทำให้ความดันเราลงเลย เวลาไปหาหมอ พยาบาลต้องเรียกรถเข็นมารับเราทุกอาทิตย์ เนื่องจากความดันเรา 200 กว่าตลอด จนอาทิตย์ที่ 3 ระหว่างนอนรอหมอในเตียงเข็น หมอสั่งยาเพื่อให้เรากินลดความดันค่ะ แต่ความดันเราไม่ลดเลย หมอก็ให้ยาเพิ่ม นอนอยู่เกือบ 4 ชม. จนความดันลด หมอก็ปล่อยกลับบ้านค่ะ ปรากฏว่าระหว่างทาง เราเป็นลมวูบไประหว่างรอขึ้นรถไฟฟ้าค่ะ ความรู้สึกคือเรารู้สึกว่าเราขาลอย ไม่ติดพื้น แต่ก็ไม่รู้ตัวว่าเป็นอะไรนะคะ รู้ตัวอีกทีก็อยู่บนพื้น พร้อมคนมุงดูแล้ว ตอนหลังพ่อมาเล่าว่าเราตาลอย เรียกก็ไม่ตอบ สักพักก็ตาเหลือกแล้วล้มไปเลย โชคดีที่พ่ออยู่ใกล้ๆเลยคว้าตัวเราไว้ทัน ไม่งั้นคอหงายฟาดพื้นแน่เพราะเราไม่รู้ตัวเลยค่ะเหตุการณ์วันนั้นพ่อพาเรากลับไปที่ห้องฉุกเฉินรพ.เดิมทันที เราต้องนอนอยู่ห้องฉุกเฉิน 1 คืนค่ะ เพราะพอลองยืนแล้วรู้สึกเหมือนจะวูบ คือชั้นพร้อมลงไปจูบพื้นตลอดเวลา หมอบอกว่าน่าจะเป็นเพราะความดันไม่คงที่ วันนั้นระหว่างขึ้นแท็กซี่ไปรพ. พ่อเราโทรหาแม่แล้วร้องไห้ค่ะ กลายเป็นเราต้องแย่งโทรศัพท์มาคุยกับแม่เองว่าหนูไม่เป็นไรนะ กำลังไปรพ. ไม่ต้องห่วง วันนั้นรู้สึกเลยว่าความตายมันใกล้ตัวจริงๆ และไม่ได้แล้วนะ เราต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่งั้นชั้นอาจตายตอนอายุ 31 ก็ได้เหตุการณ์เป็นลมวันนั้นกับภาพที่พ่อร้องไห้เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตเราจริง ๆค่ะ ตั้งแต่วันนั้นเราก็ถูกส่งไปตรวจเพื่อหาสาเหตุของความดันสูง ทั้งพบหมอไทรอย อัลตร้าซาวด์ไต ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียง echo ฉีดสี เข้าอุโมงค์ เก็บปัสสาวะทั้งวัน นอนให้น้ำเกลือ 3 ชม แล้วดูค่าการทำงานของไต สารพัดสิ่งที่จะเกี่ยวข้องกับความดันค่ะ ซึ่งผลตรวจคือไม่พบอะไรผิดปกติทั้งสิ้น O_O หมอสรุปง่ายๆ ว่าน่าจะเกิดจากกรรมพันธุ์ และต้องกินยาเพื่อคุมความดันไปเรื่อยๆ ค่ะ ฮืออพอไม่พบสาเหตุ โอเคกรรมพันธ์ก็กรรมพันธ์ ชั้นจะไม่ตายง่ายๆ หรือถ้าตายอย่างน้อยชั้นก็รู้ว่าชั้นพยายามเต็มที่ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว เราเลยปรับพฤติกรรมค่ะ ทั้งการกินและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต โดยหลักๆ เราทำอย่างนี้ค่ะ ตอนน้ำหนักประมาณ 56ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เน้น “เลือกกินของที่มีประโยชน์ ไม่ใช่อดอาหาร” งดอาหารแปรรูป มาม่า ไส้กรอก แฮม หมูยอ ขนมถุง ของหวาน ของมัน ขนมของโปรดนานาชนิด รวมถึงน้ำหวาน น้ำผลไม้ น้ำอัดลมต่างๆ เน้นกินโปรตีนให้เพียงพอ น้ำเต้าหู ปลา ถั่วอัลมอนด์ (ไม่ผสมเกลือ) ข้าวไม่ขัดสี หรือกินพวกมันญี่ปุ่น ฟักทองนึ่งทดแทนข้าวในบางมื้อ ทุกอย่างกินแต่พออิ่ม ส่วนใหญ่เราจะทำอาหารไปทานเองค่ะ พวกผัดเราผัดกับน้ำ ไม่ใส่น้ำมัน หรือถ้าไม่สะดวกต้องซื้อเราจะกินพวกสุกี้ ก๋วยเตี๋ยว เกาเหลา ไม่ใส่กระเทียมเจียว ซดน้ำน้อยๆ โชคดีที่เราไม่ใช่คนกินรสจัด การกินอาหารจืดเลยเป็นเรื่องง่ายสำหรับเราค่ะ ถ้าอยากของหวานหลังทานข้าว เราจะกินพวกผลไม้ที่แคลอรี่และน้ำตาลน้อยค่ะ เช่น ฝรั่ง ชมพู่ แตงโม แก้วมังกร แอปเปิ้ล ผลไม้พวกนี้จะช่วยเติมน้ำตาลให้เราในวันที่หิวโหยของหวานค่ะ ถ้าเรากินโปรตีนถึง เราจะอิ่ม ลองดูค่ะปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ชีวิต เปลี่ยนจากขึ้นลิฟต์มาเป็นเดินขึ้นบันได เพิ่มการออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน ลุกเดินให้บ่อยขึ้น ไม่ใช่นั่งทำงานทั้งวัน ฝึกอ่านฉลากของกินทุกอย่าง ว่ามีน้ำตาลเท่าไหร่ โซเดียมเท่าไหร่ รวมถึงโหลดแอปเพื่อมานับแคลอรี่ด้วย ว่าแต่ละวันเรากินอะไรไปบ้าง ซึ่งแอปที่เราใช้คือ myfitnesspal ค่ะ ลองหามาเล่นกันดูน้าส่วนการออกกำลังกาย ตอนแรกเราน้ำหนักเยอะ เราจะเล่นเครื่อง Elliptical ที่บ้าน และเสาร์อาทิตย์ไปเดินที่สวนสาธารณะ เพื่อให้ไม่บาดเจ็บ ค่อยๆทำ ค่อยๆเพิ่มแรงต้านและเวลา อย่าเพิ่งหมดกำลังใจค่ะ ทุกอย่างต้องใช้เวลา พอน้ำหนักเริ่มลงประมาณ 10 กิโล น้ำหนักเราเริ่มนิ่งค่ะ เราเลยเปลี่ยนจากเล่น Elliptical อย่างเดียวมาเพิ่มเล่นเวท และวิ่ง การเล่นเวทเราเล่นตามช่องใน youtube ชื่อ hasfit เริ่มยกจาก 1 โล 2 โล 3 โล ไปจนตอนนี้ 5 โลค่ะ แรกๆ เราจะปวดไปทั้งตัวเลย แต่ถ้าทำบ่อยๆ ร่างกายจะปรับสภาพได้ค่ะ การเล่นเวทจะทำให้เรามีกล้ามเนื้อไปเผาผลาญพลังงานมากขึ้น ผอมแบบมีสุขภาพดีค่ะ ช่อง Youtube: Hasfitช่วงปีที่ 2 เราเริ่มทำ if ค่ะ คิดว่าหลายๆคนคงรู้จัก มันคือ Intermitten Fasting เราเลือกทำ 16:8 กินตอนแปดโมงเช้า เลิกกินสี่โมงเย็น ที่เลือกเวลานี้เพราะเข้ากับไลฟ์สไตล์เราค่ะ ตอนเช้าเรามักจะหิว ถ้าไม่กินจะไม่มีแรงทำงาน ^^ การทำ if ก็แล้วแต่ช่วงเวลาที่แต่ละคนสะดวกเลยค่ะ บางคนอาจจะเข้างานสายเลิกดึกก็สามารถปรับตามไลฟ์สไตล์ได้ภายในระยะเวลา 2 ปี เราลดได้ประมาณ 20 โลค่ะ จาก 74 เหลือ 52 อาจจะดูว่าช้า ไม่ทันใจหลายๆคน แต่เราว่าการค่อยๆลด ค่อยๆปรับพฤติกรรม น่าจะเกิดผลดีกับร่างกายเรามากกว่า ถามว่าความดันตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ความดันเราปกติแล้วค่ะ ผ่านการปรับยามาหลากหลายรูปแบบมากกว่าความดันจะปกติ ตอนนี้เราก็ยังกินยาอยู่นะคะ และคิดว่าคงกินต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับตรวจสุขภาพดูค่าตับไตตลอดปีละ 2 ครั้งค่ะความจริงสิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่เราคิดว่าทุกคนต้องรู้อยู่แล้ว อยู่ที่ว่าใจเรามุ่งมั่นแค่ไหน ระหว่างทางอาจจะมีหลุดบ้าง แต่อยากให้เราโฟกัสกับสิ่งที่เราต้องการค่ะ ซึ่งความต้องการของเราคือ อยากใช้ชีวิตแบบมีสุขภาพดี ไปเที่ยวรอบโลกอย่างที่ต้องการ และแก่อย่างมีคุณภาพ ^_^ สิ่งที่เราแชร์ไม่ใช่ทริคหรือเคล็ดลับแปลกใหม่ ทุกสิ่งอยู่ที่ความมุ่งมั่น และความตั้งใจของทุกคน สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ความผอมไม่ผอม สำหรับเราการไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ และต่อให้เรามีเงินแค่ไหน ก็ไม่สามารถซื้อสุขภาพได้ เป็นกำลังใจให้ทุกคนผอมอย่างมีคุณภาพนะคะ ^O^ **แชร์จากประสบการณ์ของผู้เขียนเท่านั้นซึ่งผลลัพธ์ของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อปรับวิธีการให้เหมาะกับแต่ละบุคคลภาพปกและภาพประกอบ: โดยเจ้าของบทความ เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !