เมื่อคนเราอายุเพิ่มขึ้น ร่างกายก็เสื่อมถอยตามกาลเวลา ซึ่งกลไกเหล่านี้สามารถชะลอไว้ได้ด้วยการหันมาเอาใจในรายละเอียดการกินและพฤติกรรมในการใช้ชีวิต เราควรได้รับสารอาหารอย่างเหมาะสมและเสริมให้เรามีสุขภาพดีตามสรรพคุณของวิตามินแต่ละชนิด ไม่ใช่แค่คนที่อายุที่เพิ่มขึ้นเท่านั้นที่ควรได้รับวิตามินที่จำเป็น คนวัยทำงาน หรือ วัยรุ่นหนุ่มสาว นักเรียนนักศึกษาที่มีปัญหาในด้านต่างๆ เช่น นอนดึกไม่มีเวลาพักผ่อน เครียดเรื่องงาน เรื่องเรียน สิวขึ้น หน้าหม่อง ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง รวมสารพัดปัญหาที่คนเราจะเป็นได้ ร่างกายของคนเราจึงจำเป็นต้องรับสารอาหารที่ครบถ้วนเพื่อให้มีพละกำลังพอสำหรับการดำเนินชีวิต อาหารเสริมและวิตามินเลยจำเป็นกับคนกับคนทุกเพศทุกวัย ถ้าหากรู้สึกขาดเราก็เติม เหมาะกับคนไม่มีเวลาในการดูแลตัวเอง และ รักสุขภาพ การรับประทานอาหารเสริมจึงเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ 1.วิตามินเอ (vitamin A) วิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันดังนั้นวิตามินเอจะถูกดูดซึมไปใช้ในร่างกายได้ดีที่สุดเมื่อกินร่วมกับอาหารที่มีน้ำมันหรือไขมันเป็นส่วนประกอบ มีส่วนประกอบสำคัญที่ มีผลต่อการเจริญเติบโต การสร้างกระดูก และระบบสืบพันธุ์ รวมถึงป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร สรรพคุณช่วยเรื่องการมองเห็นที่ดี วิตามินเอเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการมองเห็นที่ดีวิตามินเอยังช่วยปกป้องดวงตาจากความเสียหายที่เกิดจากแสงอัลตราไวโอเลตช่วยป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อวิตามินเอจำเป็นสำหรับการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวการสืบพันธุ์ วิตามินเอก็มีความสำคัญต่อการสืบพันธุ์การเจริญเติบโตและพัฒนาการ วิตามินเอยังมีความสำคัญต่อเจริญเติบโตและพัฒนาการของกระดูก ฟัน และผิวหนังช่วยให้ผิวแข็งแรงและชุ่มชื้นวิตามินเอยังจำเป็นสำหรับการผลิตคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจการรับประทานกินระหว่างมื้ออาหารหรือหลังอาหารไม่เกิน 30 นาที ได้เลย ใน 1 วันผู้ใหญ่ทั่วไปให้รับประทานประมาณวันละ 700 ไมโครกรัม 2.วิตามินบีรวม (Vitamin B Complex) วิตามินบี เป็นอีกชนิดของวิตามินละลายน้ำที่มีอยู่ถึง 8 ชนิด ซึ่งเมื่อรวมกันก็จะเรียกว่า “วิตามินบีรวม”เป็นสารร่วมที่จำเป็นในการย่อยสลายน้ำตาลและกรดอะมิโนเพื่อให้ได้พลังงาน สรรพคุณเสริมสร้างความแข็งแรงของเม็ดเลือดแดงช่วยให้ระบบประสาททำงานได้เป็นปกติใช้กระตุ้นอารมณ์ กระตุ้นพลังงาน ไม่รู้สึกอ่อนเพลีย ช่วยให้การสังเคราะห์ฮอร์โมน และคลอเรสเตอรอลในร่างกายเป็นปกติช่วยผ่อนคลายความเครียดช่วยเพิ่มความอยากอาหาร ลดการเบื่ออาหารมีส่วนช่วยในการบำรุงผม เพิ่มความแข็งแรงให้กับเส้นผม เสริมอาหารมีการใช้ไบโอตินเพื่อบำรุงเส้นผมการรับประทานวิตามินบีรวมให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือการรับประทาน พร้อม หรือหลังมื้ออาหาร จะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินบีรวมได้ดีที่สุด โดยอาหารไม่มีผลต่อการดูดซึมของยา 3.วิตามินซี (vitamin C) วิตามินซี มีชื่อทางเคมีซึ่งเป็นตัวที่ออกฤทธิ์คือ กรดแอสคอร์บิก (Ascorbic acid) เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ และร่างกายไม่สามารถสร้างหรือสังเคราะห์เองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับโดยการรับประทานอาหารสรรพคุณป้องกันยับยั้งการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ บรรเทาอาการความรุนแรงของโรคหวัดให้หายเร็วขึ้นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอจากอนุมูลอิสระในร่างกาย ฟื้นฟูร่างกายหลังจากออกกำลังกาย เพราะช่วยลดการอักเสบของกล้ามเนื้อช่วยต้านทานสารภูมิแพ้ บรรเทาอาการแพ้ หอบหืด ไซนัสช่วยดูดซึมแร่ธาตุบางชนิดได้ดีขึ้น เช่น ธาตุเหล็ก ทำให้แผลหายเร็วขึ้นช่วยสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น กระดูก ฟัน และผิวหนัง บำรุงผิวพรรณ การรับประทานวิตามินซีเหมาะสมกับการทานวิตามินซีคือ ช่วงเช้าหรือเย็นโดยควรกินพร้อมอาหาร หรือ หลังอาหาร และไม่ควรกินวิตามินซี ตอนท้องว่าง ขนาดวิตามินซี ปริมาณที่ร่างกายต้องการและดูดซึมดีที่สุดคือ 60 มิลลิกรัม 4.ซิงก์ (zinc) ซิงก์ หรือแร่ธาตุสังกะสี เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เนื่องจากช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างสมบูรณ์ และคอยซ่อมบำรุงระบบเอนไซม์และเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย แต่ร่างกายของคนเราไม่สามารถสร้างซิงก์เองได้ ประโยชน์ของซิงค์ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีกมาย สรรพคุณปัญหาเรื่อง สิว และ หน้ามันมาก เป็นพิเศษมีส่วนช่วยสร้างระบบภูมิต้านทานบำรุงผม และเล็บให้แข็งแรง สุขภาพดี ลดผมร่วงได้ช่วยลดการเกิดสิว และช่วยให้ร่างกายสมานแผลได้ดีขึ้นมีส่วนช่วยในการสร้างฮอร์โมนเพศ ทำให้ฮอร์โมนสมดุลเมื่อเข้าสู่ช่วยวัยทองช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานของกระดูกและกล้ามเนื้อการรับประทานซิงก์ ควรรับประทานหลังทานอาหาร 30 นาที และไม่ควรทานธาตุซิงก์มากกว่าวันละ 40-60 มิลลิกรัม 5. คอลลาเจน (collagen) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบตามส่วนต่างๆในร่างกายเรา มีหน้าที่ยึดต่อ เชื่อมติดส่วนต่างๆของเนื้อเยื่อของร่างกาย เช่น กระดูก ข้อต่อ เอ็น ผิวหนัง รวมถึงเล็บ และ เส้นผม สรรพคุณช่วยเรื่องรอยสิว สิวหายช้า ก่อนผิวหน้าหมอง ช่วยเพิ่มการยึดเกาะระหว่างเส้นผมและหนังศีรษะเพิ่มความชุ่มชื้น เต่งตึงลดริ้วรอยส่งเสริมความแข็งแรงของกระดูก เล็บ กล้ามเนื้อ ข้อต่อช่วยซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอการรับประทานคอลลาเจน ควรรับประทานในช่วงตื่นนอน และ ก่อนนอนควรกินคอลลาเจนวันละ 5 – 7 กรัม แต่ไม่เกิน 10 กรัม โดยต้องห่างจากการรับประทานอาหาร 2ชั่วโมง ถึง 4 ชั่วโมง เพื่อประสิทธิภาพในการดูดซึมไปใช้งานในร่างกายให้ได้มากที่สุด 6. กลูตา (Gluta) กลูตา คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในร่างกายของคนเรา สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ตามธรรมชาติ และพบอยู่ในผลไม้ ผัก และเนื้อสัตว์ ช่วยทำหน้าปกป้องเนื้อเยื่อไม่ให้ถูกทำลายจากสารอนุมูลอิสระที่สะสมตามส่วนต่างๆ สรรพคุณช่วยชะลอวัยได้ถึงระดับเซลล์ในร่างกาย ช่วยยืดให้เซลล์มีอายุที่นานยิ่งขึ้นป้องกันจุดด่างดำ ริ้วรอยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันช่วยขับสารพิษ หรือที่เรานิยมเรียกกันว่าดีท็อกซ์ ให้ออกจากร่างกายช่วยบำรุงตับให้สะอาด ทำให้สมองไม่อ่อนล้า ลดอาการอ่อนเพลียช่วยขจัดโลหะที่มีปริมาณระดับเป็นพิษออกจากเซลล์ช่วยเปลี่ยนเม็ดสีผิวจากสีดำ หรือน้ำตาล ให้เป็นสีผิวขาวอมชมพู ส่งผลให้ผิวแลดูขาว กระจ่างใสขึ้นการรับประทานกลูตาควรรับประทานขณะท้องว่างจะทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้งานได้มากที่สุด เพราะช่วงเวลาท้องว่างสารอาหารรอื่นได้ถูกย่อยไปจนหมดแล้วจึงทำให้ ร่างกายรับกลูตาได้อย่างเต็มที่ ปริมาณที่ควรรับประทาน 60-250 มิลลิกรัม 7. น้ำมันปลา (fish oil) น้ำมันปลานี้จะมีกรดไขมันอยู่หลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ที่มีความสำคัญต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย สรรพคุณลดระดับไขมันในเลือดช่วยลดความดันโลหิตสูงช่วยเสริมการแก้ปัญหาภาวะซึมเศร้าช่วยต้านการอักเสบภายในร่างกายความเสื่อมโทรมของกล้ามเนื้อจากอายุที่มากขึ้นเพื่อป้องกันอาการปวดประจำเดือน ปวดเต้านม และภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ ช่วยให้สุขภาพกระดูกดีขึ้นการรับประทานน้ำมันปลา ควรกินน้ำมันปลาหลังอาหารเพื่อการดูดซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และควรบริโภค 1,000 – 3,000 มิลลิกรัมต่อวัน 8. แอสตาแซนธิน (astaxanthin) เป็นหนึ่งในสารประเภทแคโรทีนอยด์ ในธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติในสาหร่ายบางประเภทซึ่ง และทำให้เกิดสีแดงหรือสีชมพูในเนื้อปลาแซลมอน และอาหารทะเลอื่นๆ ซึ่งมีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ สรรพคุณช่วยลดความเสียหายบนผิวหนังจากแสงอาทิตย์ได้ช่วยลดอาการต่างๆจากการหมดประจำเดือนมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดความเสียหายของกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกายช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ชะลอความชรา ลดริ้วรอยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆช่วยลดระดับไขมันในเลือดช่วยบำรุงสายตาลดอาการเมื่อยล้าของสายตาช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อช่วยดูแลสุขภาพกระเพาะอาหารการรับประทานการบริโภควรบริโภคในตอนเช้าก่อนออกไปเจอะมลภาวะ และแสงแดด ปริมาณที่ควรได้รับต่อวันคือ 4–18 มิลลิกรัม 9. แอลคาร์นิทีน (L-Carnitine)คือ กรดอะมิโนที่ร่างกายผลิตขึ้นเองตามธรรมชาติ มีหน้าที่ลำเลียงกรดไขมันไปยังลำไส้ เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานในร่างกายจะพบว่าแอลคาร์นิทีนความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงที่มีการออกกำลังกายอย่างหนัก สรรพคุณช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน ลดการสะสมของไขมันช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือดดีขึ้นช่วยลดความเหนื่อยล้าของร่างกายหลังการออกกำลังกายช่วยเพิ่มการทำงานของสมองช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจการรับประทานการกินสาร แอลคาร์นิทีน แล้วเห็นผลได้ดีที่สุดนั้นคือ การกินก่อนออกกำลังกาย 30-40นาที 10. ไลโคพีน (Lycopene) ไลโคพีน คือ สารสีแดงที่พบได้ในผักและผลไม้บางชนิด โดยเฉพาะในมะเขือเทศ แตงโม รวมถึงผลไม้หรือผลเบอร์รี่ที่มีสีแดงหรือสีชมพู แต่ส่วนใหญ่จะพบได้มากในมะเขือเทศจัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมันและจัดเป็นสารประกอบชนิดหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ สรรพคุณช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายด้วยรังสียูวีในแสงแดดเพิ่มความชุ่มชื้นและปกป้องเซลล์จากการถูกทำร้ายด้วยอนุมลอิสระลดความดันโลหิตสูงปกป้องระบบประสาทและสมองช่วยในการป้องกันและชะลอการก่อตัวของต้อกระจกได้ไลโคพีนมีส่วนช่วยทำรักษามะเร็งต่อมลูกหมากได้ช่วยชะลอการตายของเซลล์กระดูก และช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงได้การรับประทานไลโคพีน ยังไม่มีช่วงเวลาที่แนะนำให้ทานไลโคพีน เพื่อที่จะรับประโยชน์สูงสุด ปริมาณที่ควรรับประทาน 9-21 มิลลิกรัมต่อวัน เครดิต1. ภาพหน้าปก แมวเป้าแตงกวาดอง (เจ้าของบทความ)2. ภาพประกอบทั้งหมดโดย แมวเป้าแตงกวาดอง (เจ้าของบทความ) เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !