"อย่าปล่อยให้สายเกินไป"เพื่อให้เหตุการณ์ที่เกิด "เป็นเพียงการเกิดกับคนอื่น ให้ได้เรียนรู้ ก่อนจะเกิดกับตนเอง"ผู้ป่วยหญิง อายุ 52 ปี เป็นฝีที่บริเวณสะบักหลังด้านขวาขนาดใหญ่ มีอาการปวดบวมแดงร้อนและมีหนองใสๆขึ้นมาให้เห็นชัดเจน ปวด และทรมานมาก แพทย์ได้ก็ทำการเจาะระบายน้องออก ทำความสะอาดและปิดแผล ได้รับยาฆ่าเชื้อกลับบ้านและนัดให้ผู้ป่วยมาทำแผลทุกวันคุณพยาบาลทำแผลให้คนไข้ทุกวันจนกระทั่งวันที่ 5 พบว่าแผลไม่ยุบบวมแล้วยิ่งลึกและการอักเสบขยายวงกว้างมากขึ้นจึงได้แจ้งคุณหมอมาดูแผล แพทย์ให้ความเห็นว่าสงสัยจะมีเบาหวาน ซึ่งจากการซักประวัติคนไข้ปฏิเสธว่าไม่เคยมีประวัติครอบครัว คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่เป็นเบาหวานและตัวเองไม่เคยตรวจ แพทย์จึงให้ขอเจาะดูน้ำตาลปลายนิ้ว(DTX) พบผลตรวจน้ำตาลในเลือด 344 mg% (หลังทานอาหาร 2 ชั่วโมง)นั่นหมายถึงผู้ป่วยมีภาวะป่วยด้วยโรคเบาหวาน จึงถึงบางอ้อว่าสาเหตุที่แผลไม่หายก็เพราะว่าผู้ป่วยเป็นเบาหวาน และไม่ได้ควบคุมนี่เองหลังจากทราบผลว่าเป็นเบาหวาน พยาบาลจึงได้เริ่มซักประวัติโดยละเอียดว่าในแต่ละวันและแต่ละมื้ออาหารทานอะไรบ้าง ไม่พบว่ามีประวัติพ่อแม่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน ทานอาหารน้อย สุดท้ายไล่ถามมาเรื่อยถึงการรับประทานลงลึกแต่ละมื้อ จนมาได้คำตอบที่ชัดเจนว่า ผู้ป่วยดื่มกาแฟเย็น ชานมไข่มุกทุกวันเช้าบ่าย ด้วยเป็นคนที่ติดหวานมาก มองว่าของที่ทานไม่ได้เป็นปัญหาอะไรหารู้ไม่ว่า ชา กาแฟเย็น ชานมไข่มุก นี่แหละตัวการร้าย ตัวสำคัญ ศัตรูโรคเบาหวานเลยทีเดียวเมื่อรู้สาเหตุของการที่แผลหายช้า ก็เลยได้จัดการให้ความรู้ปรับพฤติกรรม แบบฉบับ เอาโรคเบาหวานให้อยู่หมัดเลยทีเดียว แต่การที่เราจะปรับให้คนที่ติดหวานเลิกทานของหวานไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องติดตามวัดค่าน้ำตาลในเลือดเป็นรายสัปดาห์ จนผู้ป่วยตระหนัก และด้วยภาวะของการเจ็บป่วยรุมเร้าทำให้คนไข้ตัดสินใจที่จะยอมปฏิบัติตามโดย1. ตื่นขึ้นมาให้ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มน้ำก่อนอาหาร 1-2 แก้วทุกมื้อ2. รับประทานอาหารข้าวให้เปลี่ยนจากข้าวเหนียวเป็นข้าวเจ้าที่เป็นข้าวกล้องมื้อละ 1 ทัพพี3. กับข้าวขอให้เน้นโปรตีน เช่นไข่ต้ม อกไก่ ปลานึ่ง และเพิ่มผักลวก ผักต้ม4. มื้อเย็นห่างจากเวลานอน มากกว่า 4 ชั่วโมง5. ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีสม่ำเสมอทุกวัน6. สำหรับของต้องห้าม ขอให้หลีกเลี่ยงแน่นอนที่สุด คือขอให้งดกาแฟเย็น ชานมไข่มุก แต่ให้เปลี่ยนมาทานเป็นกาแฟดำได้ช่วงแรกๆผู้ป่วยทำไม่ได้บอกว่าทุกข์ทรมานมากทีมแพทย์ พยาบาลให้กำลังใจ และสร้างประสบการณ์โดยการแนะนำค่อยๆลดจนกระทั่งปลายสัปดาห์ที่ 2 เริ่มปรับอาหารและงดกินชานมไข่มุก กาแฟเย็น เริ่มทานกาแฟดำได้ผลลัพธ์ที่เกิด กับแผลที่อักเสบบวมลดน้อยลงอย่างชัดเจน บริเวณที่บวม แดง ร้อน ยุบลง ในสัปดาห์ที่ 4 นัดมาติดตามค่าน้ำตาลในเลือดพบว่าน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารลดลงเหลือ 180 mg% ผู้ป่วยมีกำลังใจ รู้ว่ามาถูกทางแล้ว ทีมงานช่วยกันแนะนำสร้างความตระหนักถึงความสำคัญและให้ปฏิบัติเข้มงวดมากยิ่งขึ้น 2 เดือนผ่านไป นัดมาเจาะเลือดซ้ำน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารลดลงเหลือ 104 mg% เข้าสู่ภาวะเกือบปกติแพทย์ได้ลดยาที่ให้ไปทั้งหมดเหลือแค่ยาควบคุมโรคเพียง 1 รายการ และติดตามอาการต่อเนื่องแผลที่เคยลึกมากตื้นจนกระทั่งเกือบหายแล้วสุดท้าย เดิมขนาดใหญ่เท่าลูกมะนาวก็ตื้นเหลือเพียงไม่เกิน 1 เซนติเมตรและลึกไม่เกิน 2 มิลลิเมตร ในระยะเวลา 10 สัปดาห์ แผลก็หายน้ำตาลในเลือดกับเข้าสู่ภาวะปกตินี่เป็นบทเรียนที่ทำให้เรารู้ว่าเบาหวานเป็นโรคที่สามารถควบคุมได้และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือการกินนั่นเอง ขอให้ทุกคนพึงตระหนักนำตัวอย่างนี้ไปสู่การปฏิบัติไม่ต้องรอให้ป่วยก่อนใช้สูตรแค่ปรับพฤติกรรมการกิน ออกกำลังกายฝากไว้นะคะ"กินได้ นอนหลับ ขับถ่ายสะดวก"ทุกคนจะมีสุขภาพที่แข็งแรง"สุขภาพดี ชีวีมีสุข"โชคดีเจอกันในบทความครั้งต่อไปนะคะเครดิตภาพภาพปก: ขอบคุณรูปภาพจาก OpenClipart-Vectors : Pixabayภาพประกอบที่1:ขอบคุณรูปภาพจาก fancycrave1 : Pixabay ภาพประกอบที่ 2 :ขอบคุณรูปภาพจาก Paul Hunt จาก Pixabayและข้อความโดยผู้เขียน - พี่ก้อยภาพประกอบที่3:ขอบคุณรูปภาพจาก MYCCF : Pixabay ภาพประกอบที่4 โดยผู้เขียน - พี่ก้อย เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !