'หยิน หยาง' คืออะไร? หยินหยางก็คือธาตุในร่างกาย ที่คนไทยจะรู้จักในรูปแบบของ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งธาตุเหล่านี้ ล้วนเป็นส่วนประกอบสำคัญของร่างกายมนุษย์ หากมีส่วนไหนขาดหรือมากเกินไป อาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ คำว่าหยินและหยาง มาจากความเชื่อของคนจีนโบราณ ซึ่งถ้าหากใครเคยดูหนังจีนกำลังภายใน บู๊เว่อร์ ๆ ก็พอจะรู้จักบ้าง โดยมีจอมยุทธ์ที่ฝึกยุทธ์อยากฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้เร็ว จะมีการนั่งสมาธิหรือซื้อยาจีนมากินเพื่อปรับลมปราณให้ดีขึ้น นั่นแหละคือวิธีการปรับหยินหยางในร่างกายให้สมดุลที่สามารถมองเห็นภาพได้ดีที่สุด สัญลักษณ์ของหยินหยางนั้น เป็นลูกกลมๆ ที่ภายในเป็นรูปปลาว่ายชนกันมีสีขาวและดำ โดยหยินเปรียบเสมือน 'ดิน' คือส่วนที่มีความคงที่ ก่อเกิดเป็นรูปร่างที่ห่อหุ้มร่างกาย เช่น ผิวหนังหุ้มทั้งร่างกาย หรือภายในคือโครงกระดูกทุกส่วนที่ทำให้เกิดการทรงตัวได้ เป็นต้น ส่วนคำว่าหยางเปรียบเสมือน 'น้ำ' ซึ่งถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญหลักหนึ่ง เช่น การไหลเวียนโลหิต น้ำย่อยต่างๆ เป็นต้นภาพประกอบบทความโดย: flaticon จาก freepikหยินและหยางคล้ายกับธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งความเชื่อของไทยจะมีความละเอียดที่มากกว่าเล็กน้อย แต่สิ่งต่างๆ ล้วนหลอมรวมเป็นหยินหยางเช่นกัน และคนจีนก็มีความเชื่อว่ามนุษย์จำเป็นต้องรักษาหยินหยางในร่างกายให้มีความสมดุลอยู่เสมอ ความเชื่อและวิธีการรักษา ได้ถูกบันทึกไว้เป็นหนังสือตำราการแพทย์แผนจีน ที่มีการสืบทอดมาอย่างเนิ่นนาน และวิธีการรักษาก็ยังคงเป็นที่นิยมจนกระทั่งปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะยาบำรุงกำลังจากสมุนไพรจีน เป็นที่ยอดฮิต ราคาค่อนข้างสูง ประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ที่มักได้ผลดีในการนำมารักษา สมุนไพรจีนชนิดนี้ คือ 'โสม' ได้ถูกขนานนามว่าเป็น ราชาสมุนไพร สรรพคุณนั้นเป็นที่ยอมรับของชาวจีนตลอดมาภาพประกอบบทความโดย: arrow_smith2 จาก freepikปัจจุบันประเทศไทยก็ได้มีการทำวิจัย สำรวจ และการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสมุนไพรไทยมากยิ่งขึ้น จึงเริ่มมีการรวบรวมข้อมูลสรรพคุณ คุณสมบัติ และวิธีการรักษาโดยใช้สมุนไพรที่เป็นรูปแบบ แม้ว่าโสมคือราชาสมุนไพรที่ขึ้นชื่อของจีน ไทยเราก็มีราชาสมุนไพรเช่นกัน สมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย ปรับธาตุสี่ในร่างกายให้มีความสมดุล ช่วยทำให้มีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น สมุนไพรชนิดนี้มีการนำมาใช้เป็นส่วนประกอบหลักในการทำแกงส้ม ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อของประเทศไทยมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ราชาสมุนไพรไทยที่กล่าวมานี้ คือ กระชาย นั่นเองภาพประกอบบทความถ่ายโดยผู้เขียนกระชาย ขึ้นชื่อว่าเป็นราชาสมุนไพร มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะ ปรับธาตุให้สมดุล ช่วยปรับฮอร์โมน และสรรพคุณอื่นๆ ที่นอกเหนืออีกมากมาย กระชาย เป็นสมุนไพรรสเผ็ด จึงทำให้ช่วยในการไหลเวียนเลือดลมในร่างกายได้เป็นอย่างดี แต่ถ้านำมารับประทานเดี่ยว ๆ ชนิดเดียว เป็นเวลานาน อาจจะทำให้ส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ดังนั้นเมื่อกระชายคล้ายธาตุไฟที่ช่วยทำให้ร่างกายกลับมากระชุ่มชวยอีกครั้งแล้ว แต่ถ้ามีมากเกินไปร่างกายอาจจะถูกธาตุไฟเข้าแทรกแล้วล้มป่วยลงได้ ดังนั้นจะต้องมีธาตุน้ำที่มาช่วยดับไฟ เพื่อให้สมุนไพรกระชายนี้ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สมุนไพรอีกชนิดที่จะต้องกินควบคู่ไปกับกระชาย คือ ใบบัวบก ซึ่งเป็นพืชที่มีรสเย็น ช่วยรักษาอาการช้ำภายใน ลดความดันโลหิต บำรุงสมอง และที่สำคัญมักเป็นส่วนประกอบหลักในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ช่วยให้หน้าดูอ่อนกว่าวัย ลดรอยจากสิว เป็นต้นเคล็ดลับที่อยากมาแชร์ หากใครกำลังมองหาสมุนไพรที่อยากดื่มเพื่อบำรุงกำลัง และมีงบประมาณจำกัด มีขั้นตอนง่าย ๆ เพียง 5 ขั้นตอน สามารถทำได้เองที่บ้าน สรรพคุณต่อร่างกายที่จะได้รับเทียบกับราคาที่เสียไป รับรองว่าคุ้มค่าเกินราคาแน่นอน ภาพประกอบบทความถ่ายโดยผู้เขียนวิธีการทำ1. เตรียมสมุนไพร ได้แก่ กระชาย 1 กำมือ ใบบัวบก 1 กำมือ นำมาล้างนำให้สะอาด2. นำสมุนไพรแต่ละชนิด มาตำให้ละเอียดกับครกที่สะอาด (ห้ามนำมาปั่นเด็ดขาด เพราะประสิทธิภาพที่ได้จะลดลง) 3. กรองสมุนไพรด้วยผ้าขาวบาง แล้วนำน้ำที่ได้จากสมุนไพรทั้งสองนี้มาผสม จะได้สมุนไพรที่เข้มข้น4. เทใส่ขวดที่สะอาดเพื่อเก็บไว้ผสมดื่มครั้งต่อไปได้ 5. แช่ไว้ที่ตู้เย็น ควรใช้ให้หมดภายใน 3-5 วัน วิธีดื่ม 1. ตวงน้ำสมุนไพรเข้มข้นที่ได้ผสมแล้ว ใช้เพียง 2 ช้อนโต๊ะ (ช้อนสั้นที่ไว้ตักน้ำแกง)2. เติมความหวานเล็กน้อยด้วยน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ (มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความชอบ แต่ก็ไม่ควรหวานเกินไป)3. หลังจากนั้นผสมด้วยน้ำเปล่าที่สะอาดให้เต็มแก้วคนส่วนผสมต่างๆ ให้เข้ากันแล้วดื่มได้เลย ซึ่งปริมาณในการผสมนี้คือต่อแก้วน้ำขนาด 250 มล.ภาพประกอบบทความถ่ายโดยผู้เขียนหากใครอ่านแล้วสนใจ ก็สามารถไปลองทำดื่มกันได้ทั้งครอบครัว (ไม่เหมาะสำหรับเด็กเล็ก ควรอายุ 20 ปีขึ้นไป) แต่ถ้าใครมีโรคประจำตัวที่ต้องกินยาตามแพทย์สั่ง ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะอาจจะทำให้การทำงานของตัวยานั้นตีกัน และอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายของเราแทนได้ ยาทุกชนิดบนโลกนี้ล้วนมีทั้งข้อดี-ข้อเสียในตัวมันเอง หากใช้อย่างเหมาะสมก็จะเป็นประโยชน์ แต่ถ้ามากเกินไปก็อาจจะเป็นโทษได้ ดังนั้นควรสร้างความสมดุลให้กับร่างกาย ไม่มากหรือน้อยเกินไป เหมือนดั่งเช่น 'หยินหยาง' นั่นเอง