ไขข้อสงสัย น้ำมันปลา VS น้ำมันตับปลา ต่างกันอย่างไร? สวัสดีค่ะ ทุกคนใครเคยสับสน และสงสัยเหมือนกับเราบ้างรึป่าวคะ ว่าน้ำมันปลา กับ น้ำมันตับปลาเนี่ยมันเหมือนกันมั้ย มีประโยชน์เหมือนกันรึป่าว และ ตัวไหนช่วยเรื่องอะไร และเหมาะกับใครบ้าง แหม...ก็ชื่อของเจ้าสองคนนี้คล้ายกันขนาดนี้ก็อาจทำให้ใครหลายๆคนเกิดการสับสน และ เข้าใจผิดได้ว่า อาจเป็นตัวเดียวกัน แต่จริงๆแล้วรู้หรือไม่คะ ว่าเจ้า น้ำมันปลา และ น้ำมันตับปลาเนี่ย มีหลายอย่างเลยล่ค่ะที่แตกต่างกัน วันนี้เราเลยจะมาสรุปให้กับบทความที่มีชื่อว่า ไขข้อสงสัย น้ำมันปลา VS น้ำมันตับปลา ต่างกันอย่างไร ที่นี่มีคำตอบ ไปอ่านกันเล้ยสกัดมาจากปลาคนละส่วนกันน้ำมันปลา (Fish Oil) เกิดจากการสกัดเอาน้ำมันจากปลาทะเลบริเวณส่วน หัว เนื้อ หนัง ส่วนที่มีไขมัน โดยส่วนใหญ่จะมาจาก พวกปลาแองโชวี่ ปลาแซลมอน , ปลาทูน่า หรือ ปลาแมคเคอเรล เป็นต้น อย่างที่เราเห็นกันในท้องตลาดที่แบรนด์ส่วนใหญ่นิยมเอามาทำน้ำมันปลาส่วนใหญ่ที่เราสังเกตมา ก็จะเป็นพวกปลาแซลมอนนั่นเองน้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) ส่วนน้ำมันตับปลาจะผลิตมาจากตับของปลาเท่านั้น และส่วนใหญ่นิยมใช้ปลา Cod ในการนำมาผลิตพูดง่ายๆก็คือจริงๆแล้วเจ้า น้ำมันปลา (Fish Oil) และ น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) จริงๆแล้วก็ผลิตมาจากปลาทะเลเหมือนกันแต่แตกต่างกันที่ใช้คนละชิ้นส่วนของปลาในการผลิตออกมาต่างกันนั่นเองสารสกัดต่างกันจริงๆทั้ง น้ำมันปลา (Fish Oil) และ น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) ต่างก็มีสารสกัดที่ทั้งเหมือนหันและต่างกันนะ ที่เหมือนกันก็คือ มีโอเมก้า 3 ที่มี EPA และ DHA เหมือนกัน และต่างกันตรงที่ น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) จะมีสัดส่วน มี EPA และ DHA น้อยกว่า น้ำมันปลา (Fish Oil) มากๆ และใน น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) จะมี วิตามิน A และ วิตามิน D ที่ค่อนข้างสูง ซึ่งใน น้ำมันปลา (Fish Oil) ไม่มีนั่นเอง คุณประโยชน์ต่างกันน้ำมันปลา (Fish Oil) ส่วนประกอบที่สำคัญก็คือ กรดโอเมก้า 3 ที่มี EPA และ DHA เป็นสารออกฤทธิ์ ช่วยในเรื่องของEPA ลดไตรกรีเซอร์ไรด์ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจลดความดันโลหิตสูง ให้อยุ่ในเกณฑ์ปกติลดการปวดข้อและข้ออักเสบ และต้านการอักเสบต่างๆในร่างกายDHA ช่วยบำรุงสมอง ระบบประสาท และจอประสาทตาสามารถป้องกันโรคซึมเศร้า และ โรคอัลไซเมอร์ได้ด้วยน้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) จริงๆก็มี EPA และ DHA เหมือน น้ำมันปลา (Fish Oil) นะ แต่จะมีในอัตราส่วนที่น้อยกว่ามาก แต่จะมีวิตามิน A และ วิตามิน D ที่ค่อนข้างสูงช่วยในเรื่องของวิตามิน Aบำรุงสายตา ช่วยให้เกิดการมองเห็นในที่มืดได้ดีขึ้นเสริมสร้างภูมิคุ้มกันสร้างเยื่อบุผิวและกระดูก วิตามิน Dช่วยในเรื่องการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสในทางเดินอาหารให้สามารถเข้าสู่ร่างกายของเราได้มากขึ้นเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และ กระดูกให้แข็งแรงความนิยมไม่เท่ากัน หากเพื่อนๆลองสังเกตดูในท้องตลาด ห้างสรรพสินค้า หรือร้านขายยาทั่วไป จะเห็นเลยว่าผลิตภัณฑ์ น้ำมันปลา (Fish Oil) จะมีวางจำหน่ายมากมายให้เลือกหลากหลายยี่ห้อมาก แตกต่างจาก น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) ที่ไม่ค่อยจะได้เห็นวางจำหน่ายสักเท่าไหร่ หรือต่อให้มีก็มีน้อยมาก นั่นเป็นเพราะว่า น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) มีสารสกัดสำคัญ คือ วิตามิน A และ วิตามิน D ซึ่งเจ้าวิตามิน 2 ตัวนี้ร่างกายเราสามารถรับจากการทานผักและเนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น ผักบุ้ง หรือ ตำลึง เป็นต้น ส่วนวิตามิน D ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้จากแสงแดดนั่นเอง อีกทั้ง ทั้งเจ้าวิตามิน A และ วิตามิน D ที่อยู่ในน้ำมันตับปลา เป็นวิตามินจำพวกที่ละลายในไขมัน ซึ่งหากรับประทานมากเกินไป อาจทำให้เกิดการสะสมในร่างกายได้ และอาจก่อให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ก็ได้กลุ่มคนที่ควรระวังในการบริโภคทั้งน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลา ได้แก่เนื่องจาก น้ำมันปลา (Fish Oil) และ น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) มีงส่วนช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ส่งผลให้เวลาเลือดออกเลือดอาจเกาะตัวได้ช้ากว่าปกติ จึงไม่แนะนำให้ทานสำหรับกลุ่มคนที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัดด้วยนะคะ เพราะทั้ง 2 ตัวจะช่วยให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น จึงอาจทำให้เลือดออกมากว่าปกติ แนะนำให้หยุดทาน ทั้ง 2 ตัวก่อนเข้ารับการผ่าตัดล่วงหน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์น้า เราต้องบอกเลยว่าเลือดไหลเวียนดีมาก เพราะต้องบอกว่าเราเป็นคนที่ทาน น้ำมันปลา (Fish Oil)และน้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) อยู่แล้ว เวลาไปทำการฉีด เมโส , Botox หรือทำหัตถการต่างๆ หมอแอบบ่นตลอดเลยว่าเลือดออกเยอะมาก ดังนั้นจึงแนะนำให้ถ้ารู้ว่าต้องทำการใดๆก็ตามที่ต้องเสียเลือด ถ้าหยุดก่อนได้ก็ให้หยุดนะจ้ะ และพิเศษสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ ไม่ควรทานน้ำมันตับปลา เนื่องจากในน้ำมันตับปลามีวิตามิน A สูงมากซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทารกที่อยู่ในครรภ์ได้ อาจทำให้เกิดภาวะแท้งหรือเด็กในครรภ์ออกมาพิการได้ หากได้รับวิตามิน A ในปริมาณที่มากเกินไป แต่ไม่ใช่ให้หยุดทานอาหารที่มีวิตามิน A ไปเลยนะ เพราะเด็กในครรภ์ก็ยังคงต้องการวิตามิน A เพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโตในครรภ์ แต่แนะนำให้รับวิตามิน A จากการทานพืชผักดีกว่าทานอาหารเสริมที่มีวิตามิน A นะคะ เช่น ผักบุ้ง ฟักทอง แครอท เป็นต้น เป็นยังไงกันบ้างคะ ได้ ไขข้อสงสัย น้ำมันปลา VS น้ำมันตับปลา ต่างกันอย่างไร ซึ่งข้อมูลทั้งหมดที่เราเอามาบอกเล่าให้ฟังกันเนี่ยเกิดจากประสบการณ์การทานน้ำมันปลา (Fish Oil) จริงของเรานะ และข้อมูลต่างๆใดๆเราก็เก็บรวบรวมมาจากเหล่าคุณหมอที่ออกมาให้ความรู้ไม่ว่าจะเป็นช่องทาง TikTok หรือ YouTube แล้วเอามาสรุปใจความสำคัญและข้อมูลที่คิดว่าน่าจะจำเป็นที่เป็นข้อสงสัยจริงๆมาให้ได้อ่านกันน้าาาา สุดท้ายเราสรุปให้คร่าวๆนะ น้ำมันปลา (Fish Oil) เหมาะสำหรับคนที่การลดระดับไขมันไม่ดี และช่วยในเรื่องบำรุงสมองและหัวใจ ส่วนน้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) เหมาะสำหรับใช้ในการบำรุงร่างกายทั่วไป และช่วยในเรื่องการเจริญอาหาร คราวนี้เพื่อนๆก็สามารถเลือกได้แล้วนะคะ ว่าเหมาะกับการเลือกทานตัวไหน เพื่อช่วยเรื่องอะไร ซึ่งปัญหาของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป ดังนั้นเราคงอาจตอบแทนเพื่อนๆไม่ได้ว่า อาหารเสริมตัวไหนเหมาะกับเพื่อนๆ แต่เราเชื่อว่า ตัวเพื่อนๆทุกคนคงมีคำตอบในใจแล้วล่ะ ว่าแต่ละคนเหมาะกับการทานอาหารเสริมตัวไหน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรทานในปริมาณที่พอเหมาะนะคะ โดยทั่วไป น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil)ไม่ควรรับประทานเกิน 30 มิลลิลิตรต่อวัน และ น้ำมันปลา (Fish Oil) วันนึงไม่ควรเกิน 3 กรัมต่อวัน เพราะหากทานในปริมาณที่มากเกินไปแทนที่จะได้คุณอาจกลายเป็นโทษก็ได้น้าาาา และสำหรับใครที่ชื่นชอบบทความ ไขข้อสงสัย น้ำมันปลา VS น้ำมันตับปลา ต่างกันอย่างไร ที่นี่มีคำตอบ ก็อย่าลืมแชร์ให้เพื่อนๆคนอื่นได้อ่านกันน้า หรือถ้าใครชอบบทความเกี่ยวกับสุขภาพและความงามของเราก็สามารติดตามอ่านบทความอื่นๆของเราได้ที่Facebook Page : Wondering ReviewInstagram : wondering.reviewTrueID Creator : hatyaireview2018 เครดิตรูปภาพหน้าปกCanva : ภาพที่ 1 เครดิตรูปภาพประกอบทั้งหมดโดยผู้เขียน : hatyaireview2018ออกกำลังกายอยู่บ้านได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !