ทุกท่านเคยประสบพบเจอกับเหตุการณ์เเบบนี้หรือเปล่าครับ ลดน้ำหนักมาเป็นเดือน ผลตอบรับดีมาก น้ำหนักลดลงเร็ว เเต่พอเวลาผ่านไปได้ประมาณสองเดือนเท่านั้นเเหละ น้ำหนักที่ลดลงมากลับเพิ่มขึ้นซะอย่างนั้น บางคนเพิ่มขึ้นจนกลับมาเท่าเดิม บางคนซ้ำร้ายยิ่งกว่าเพราะน้ำหนักเพิ่มขึ้นจากเดิมถึงสองเท่า อาการเเบบนี้เขาเรียกกันว่า Yoyo Effect นั่นเองครับ โยโย่เอฟเฟกต์คือการที่เราควบคุมน้ำหนักผิดวิธีหรือการออกกำลังหนักเกินไป ทำให้น้ำหนักในช่วงเเรกลดลงอย่างเห็นผลได้ชัด เเต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปมันกลับเพิ่มขึ้นเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมในบางกรณี ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนเลยอยากจะมานำเสนอบทความที่จะช่วยให้ทุกท่านลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพเเถมไม่เกิดโยโย่เอฟเฟกต์อีกด้วย 1. ไม่ออกกำลังกายเเบบหักโหมจนเกินไป หลายคนมักคิดว่า การที่จะลดไขมันให้หายออกไปจากตัวเราต้องออกกำลังให้หนัก เพื่อที่จะให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานไขมันออกไปให้ ถ้าคุณคิดเเบบนั้นคุณคิดผิดเเล้วครับ ยิ่งเราออกกำลังหนักขึ้นเท่าไหร่ สิ่งที่ร่างกายจะเผาผลาญออกไปคือกล้ามเนื้อเเละน้ำในร่างกายครับ ช่วงเเรกของการออกกำลังปกติอาจจะเป็นการเผาผลาญไขมันไปพร้อมกับกล้ามเนื้อ เเต่ช่วงหลังที่เราหักโหม มันไปเผาผลาญกล้ามเนื้อหมดเลยครับ เเล้วเหงื่อที่ไหลออกมาจากร่างกายนั้น ไม่ใช่ไขมันนะครับ มันคือน้ำที่มีอยู่ในร่างกายเรา สังเกตไหมครับว่ายิ่งเราเหงื่อออกมาก ยิ่งหิวน้ำ เพราะฉะนั้นเหงื่อที่ออกมาจากร่างกาย ส่วนใหญ่เเล้วเป็นน้ำทั้งสิ้น ผลข้างเคียงจากการที่ออกกำลังกายหนัก คือการที่ร่างกายเสียสมดุลในการเก็บรักษาพลัง เมื่อร่างกายได้รับบาดเจ็บ หรือมีอาการผิดปกติ มันจะไปลดระบบกล้ามเนื้อเเละระบบเก็บพลังงานลง หากขาดวินัยหรือกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ เพราะความไม่คงที่ของระบบเก็บพลังงานในร่างกาย ขอบคุณรูปภาพจาก https://pixabay.com/images/id-2343558/ 2. ไม่ควรอดอาหาร หากคุณคิดว่าการอดอาหารจะช่วยลดความอ้วนได้เเล้วล่ะก็ จงหยุดความคิดนี้ซะ เพราะนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่จะทำให้คุณกลับมาน้ำหนักขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้ วิธีการลดน้ำหนักโดยการอดอาหาร คือวิธีที่คนส่วนใหญ่คิดว่าดี เพราะไม่ต้องออกกำลังกายก็สามารถทำได้ เเถมบางครั้งยังได้ผลในทางที่ดีอีกด้วย เเต่นั่นเป็นเเค่เพียงช่วงเเรกเท่านั้น เพราะหลังจากที่คุณเริ่มอดอาหารมานาน ร่างกายจะปรับตัวตาม ด้วยการลดกล้ามเนื้อเเละการทำงานของระบบเผาผลาญลง เมื่อคุณกินอาหารเท่าเดิม ระบบเผาผลาญที่ลดการทำงานจะไม่สามารถเผาผลาญอาหารเหล่านั้นได้หมด จนเหลือเป็นเศษตกค้างจำพวกไขมัน ซึ่งเป็นตัวการที่จะทำให้คุณน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกครั้ง นอกจากนั้นถ้าหากคุณเลิกอดอาหารเเล้วไปกินอาหารตามปกติ ในขณะที่ร่างกายยังลดการทำงานระบบเผาผลาญอยู่ อาหารที่กินเข้าไปนั้นจะเเปรเปลี่ยนเป็นพลังงานไขมันเเทน 3. พยายามอย่าเครียดจนเกินไป ความเครียดเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่อาจจะทำให้คุณลดน้ำหนักไม่ได้ หรือไม่ก็อาจจะทำให้น้ำหนักไม่คงที่ เพราะเมื่อเริ่มเครียด สมองจะต้องใช้พลังงานในการคิดสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา จนมันสามารถทำให้น้ำหนักเราลดลงได้ เเต่ถึงเเม้จะลดลง เราจะได้อีกสิ่งหนึ่งเพิ่มเข้ามา นั่นคืออาการหิวบ่อย เคยเป็นกันไหมครับ กินเครียดยิ่งหิว นั่นเเหละคือตัวปัญหา หลังจากที่สมองของเราใช้พลังงานไปกับความเครียด มันก็ต้องการหาของหวานมาทดเเทนในส่วนนั้น เพราะความหวานของน้ำตาลในของหวานช่วยลดความเครียดได้ เเต่กลับกัน สิ่งที่ได้มาจากความสุขนั้นคือไขมันที่เเปรเปลี่ยนมาจากน้ำตาลที่เราได้กินมันเข้าไป เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะวางเเผนลดน้ำหนัก ต้องวางเเผนอารมณ์เเละช่วงเวลาด้วย อย่าทำให้ตัวเองเครียดจนเกินไป เดี๋ยวผลที่ตามมามันอาจจะทำให้คุณเครียดกว่าเดิมเนื่องจากขีดตัวเลขบนตาชั่งมันสูงขึ้น 4. อย่านอนดึก การนอนหลับก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้คุณผอมหรืออ้วนลงได้เช่นกันนะ เพราะถ้าหากคุณนอนดึก ร่างกายจะไม่ได้รับการพักผ่อน จนทำให้มันต้องใช้พลังงานมากขึ้น ยิ่งนอนดึกเท่าไหร่ยิ่งใช้พลังงานมากเท่านั้น เเละสิ่งที่จะเกิดกับคุณนั่นก็คือความหิว ใช่ มันคือความหิวโหยในมื้อดึก จนบางครั้งก็ลืมไปเลยว่าตัวเรานั้นได้ถือขนมอยู่ในมือเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว ขอบอกเลยว่าการเผลอกินมื้อดึกนี่เเหละ คือความผิดพลาดร้ายเเรงของการลดน้ำหนัก นอกจากนั้นการนอนดึกยังส่งผลให้ร่างกายสะสมไขมันเพิ่มขึ้นอีกด้วย ขอบคุณรูปภาพจาก https://pixabay.com/images/id-413685/ 5. ควรเริ่มต้นจากการ ลดปริมาณลงทีละน้อย ลดปริมาณที่ว่านี้คือการลดปริมาณการกินอาหารลง เช่น จากปกติคุณกินข้าวมื้อละ 2 จาน ก็ให้ลดลงมาเหลือสักมื้อละ 1 ส่วน 8 จาน จากนั้นพอผ่านไปสักหนึ่งสัปดาห์หรือหนึ่งเดือน ค่อยลดปริมาณเพิ่ม มันคือการปล่อยให้ร่างกายเราเริ่มชินกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ พอเราเเอบลดปริมาณลงทีละนิด ทีละหน่อย ร่างกายมันจะจับไม่ได้ว่าเรากำลังลดอยู่ พอมาถึงจุดหนึ่งคุณจะอาจจะได้เห็นความเปลี่ยนเเปลงนั้นก็เป็นได้ เเนะนำว่าอย่ารับประทานข้าวเหนียวเยอะ เพราะข้าวเหนียวมีน้ำตาลมาก มันส่งผลทำให้เวลาเรากินเเล้วมันกะปริมาณยาก อีกอย่างคือข้าวเหนียวมันทำให้เราติด จนกินเพลินไม่รู้จุดสิ้นสุด เเนะนำให้กินข้าวสวย จะได้รู้ปริมาณที่เราต้องกิน หรือรู้ปริมาณที่เราต้องเเอบลดลงไม่ให้ร่างกายรู้ทัน ขอบคุณรูปภาพจาก http://pxhere.com/th/photo/950856 7. ห้ามกินยาลดความอ้วน อีกหนึ่งตัวปัญหาของการลดน้ำหนัก เเละการก่อให้เกิดผลโยโย่เอฟเฟกต์ เมื่อคุณกินยาลดความอ้วนเข้าไป ร่างกายจะเกิดอาการเบื่ออาหาร ไม่อยากอาหาร ส่งผลทำให้ระบบเผาผลาญในร่่างกายเริ่มรวน พอยาหมดฤทธิ์ คุณกลับมาผอมลงกว่าปกติ ต่อให้กินอาหารน้อยลงกว่าเดิมก็ตาม โยโย่เอฟเฟกต์ก็ยังคงตามมาหลอกหลอน เพราะระบบเผาผลาญที่เปลี่ยนเเปลงไป จากเดิมกินเยอะ ระบบเผาผลาญก็ทำงานปกติ เเต่พอลดน้ำหนักเเบบหักดิบ การทำงานระบบเผาผลาญจะลดต่ำลง เมื่อกลับมากินอาหาร อาหารที่กินเข้าไปจะย่อยช้าเเละย่อยยาก จนในที่สุดก็กลายมาเป็นไขมันสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกายเเทน 8. มั่นคง จริงจัง กับการลดน้ำหนัก ผู้เขียนไม่สามารถทำให้คุณลดน้ำหนัก หรือทำให้หยุดยั้งการเกิดโยโย่เอฟเฟกต์ได้ มีเพียงเเค่ตัวคุณเท่านั้นที่สามารถทำมันได้ วินัยเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่ว่าจะใช้กับอะไรก็ตาม หากเราควบคุมน้ำหนักอย่างถูกวิธีอย่างสม่ำเสมอ ผลลัพธ์ก็คงออกมาดี เเต่หากคุณไม่ทำอย่างจริงจังเเละสม่ำเสมอ มันจะทำให้ร่างกายรวน ระบบเผาผลาญ จนผลสุดท้ายคือ ปริมาณน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ผู้เขียนเคยประสบปัญหานี้ในช่วงมัธยมปลาย เป็นการโยโย่เอฟเฟกต์ที่เจ็บปวดมาก จากน้ำหนัก 60 กิโลกรัม พุ่งไปยัง 100 กิโลกรัม สาเหตุเป็นเพราะการไม่มั่นคงเเละโลเล จนในที่สุด วันหนึ่งผู้เขียนก็สามารถพิชิตมันลงได้ ขอบคุณภาพปกจาก https://pixabay.com/images/id-2728331/