แนะนำท่านผู้อ่านที่ยังไม่ได้อ่าน EP. 1 ซึ่งเป็นการเล่าการลดน้ำหนักของผู้เขียนคร่าว ๆ ได้ที่ https://cities.trueid.net/post/116767 สำหรับใน EP.2 นี้ผู้เขียนจะมาแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับการปรับตัวในการกินอาหาร และชี้ให้ผู้อ่าน เข้าใจในส่วนประกอบหลัก ๆ ของอาหารในแต่ละมื้อ ผู้อ่านควรสังเกตและจดบันทึกอาหารไว้ ประมาณ 1 - 4 สัปดาห์ เพื่อให้เข้าใจรูปแบบอาหารที่เราบริโภคไปในแต่ละวัน โดยจากการศึกษา และสังเกตอาหารของตนเองนั้น ผู้เขียนได้แยกประเภทอาหารออกเป็น 2 ประเภท 1. อาหาร "จำเป็นต่อการดำรงชีวิต" เป็นพลังงาน ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ 2. อาหารที่เป็นเพียงแค่ "ความสุขทางใจ" ไม่ได้ส่งผลดีอะไรกับร่างกายมากนัก แต่เชื่อหรือเปล่าค่ะ ว่าการตัดสินใจเลือกอาหารส่วนใหญ่หนักไปทาง "ความสุขทางใจ" "การลดน้ำหนักเกี่ยวข้องกับปริมาณอาหารและการใช้พลังงานจากอาหารที่กินเข้าไปนั้นอย่างเหมาะสม" หากอาหารที่กินเข้าไปให้พลังงานมากเกินกว่าที่เราจะใช้หมด อาหารเหล่านั้นก็ถูกเก็บไว้ในร่างกายเราในรูป ของ “ไขมัน” ตามต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง เพื่อรอเวลาที่เราจะนำออกมาใช้ แต่การจะเลือกอาหาร แค่เพียงสามารถดำรงชีวิตได้นั้น ก็เป็นสิ่งที่ยากมากเพราะอาหารที่เป็นความสุขทางใจ ช่วยให้ชีวิตมีชีวา เช่น ขนมของขบเคี้ยว น้ำดื่มเย็น ต่าง ๆ นั่นเอง บางคนบอกว่า "ฉันไม่ได้กินขนมอะไรพวกนี้สักเท่าไรเลย" เมื่อพิจารณาอาหารหลัก ๆ ในแต่ละมื้อ เราจะพบว่า อาหารแต่ละเมนูนั้นจะมี "คาร์โบไฮเดรต" หรือ "ข้าวแป้ง น้ำตาล" เป็นส่วนใหญ่หากเทียบ กับ "โปรตีน" หรือ เนื้อสัตว์ และ "อาหารที่ให้เส้นใย" หรือ "ผัก" และสารอาหารสำคัญที่ทำให้เกิด การรับพลังงานเกินคือ "คาร์โบไฮเดรต" หรือ ข้าวแป้ง น้ำตาล นั่นเอง จากการศึกษาเรื่อง "สารอาหาร" ผู้เขียนก็ได้รู้จักกับ "ตารางอาหารแลกเปลี่ยน" จากน้องที่เป็นนักโภชนาการ รายการอาหารแลกเปลี่ยน - คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลwww.si.mahidol.ac.th › admin › knowledges_files และพบว่า "งานวิจัยต่าง ๆ แนะนำให้ผู้หญิงกินข้าวไม่เกิน 4 ทัพพี ต่อวัน" โดยข้าวสุก 1 ทัพพีจะมีปริมาณ 60 กรัม หรือ ข้าว 5 คำช้อนกินข้าว (ตอนอ่านครั้งแรก ผู้เขียนตกใจมาก) การเรียนรู้เรื่องอาหารแลกเปลี่ยนในแต่ละหมวด ทำให้เราบริหารจัดการตารางการกิน และเมนูอาหารของเรา ในแต่ละวันได้ง่ายและเกิดสมดุลของสารอาหารมากขึ้น ผู้อ่านลองอ่านและลองบันทึกอาหารโดยอิงจากตาราง อาหารแลกเปลี่ยนนี้ดูนะคะ โดยผู้เขียน ขอเพิ่มเติมว่าน้ำตาล 6 ช้อนชาก็เท่ากับข้าว 1 ทัพพี ดังนั้นถ้ากินขนม ของว่างที่มีรสหวาน หรือเครื่องดื่มรสหวาน ให้เทียบเป็นข้าว 1 หรือ 2 ทัพพีด้วยค่ะ สำหรับผู้เขียนแล้วได้ศึกษาการกินอาหารของหลาย ๆ กลุ่ม ซึ่งมีกลุ่มที่ปฏิเสธไม่รับคาร์โบไฮเดรตเลยอยู่เช่นกัน แต่หากเราสังเกตคนที่ไม่ได้มีภาวะน้ำหนักเกิน หรืออ้วน หลาย ๆ คนก็กินอาหารปกติทั่ว ๆ ไป ดังนั้นสำหรับ ผู้อ่าน ที่รู้สึกว่าลำบากในการที่จะต้อง "งด" หรือ "เลิก" กินอาหารประเภทใดไปนั้น การกินอาหารโดย ทำความเข้าใจกับตารางอาหารแลกเปลี่ยน ถือเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดค่ะ บทความหน้าผู้เขียนจะมาชวนผู้อ่าน บริหารจัดการเพิ่มโปรตีน และลดปริมาณอาหารหมวดข้าวแป้ง แบบที่ไม่ทำให้ร่างกายไม่รู้รู้สึกว่าขาด หรือโหยหาเลย เป็นการลดอาหารลงได้อย่างถาวร มาเริ่มสร้างสุขนนิสัยในการรับประทานอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการกันนะคะ ภาพทุกภาพโดย ผู้เขียน Paulahway