อย่างน้อย 1 สัปดาห์ สามารถลดได้ 2 กิโลกรัม อยากให้ลองทำกันดู สำหรับผู้ที่อยากลดน้ำหนักช่วงนี้ในตอนเด็กๆ เราไม่เคยต้องกังวลเรื่องของน้ำหนักเลย แต่พอมาถึงจุดหนึ่งที่พ้นวัยแห่งการเจริญเติบโตทางร่างกายแล้ว (วัย 25 ปี) กลับต้องมากังวลถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ผมเองก็เคยต้องกังวลเมื่อน้ำหนักเคยขึ้นถึง 64 กิโลกรัม ด้วยความสูงที่ 161 เซนติเมตร อาจจะดูไม่ได้มีน้ำหนักที่มากอะไรสำหรับคนทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้เดือดร้อนมากที่สุดในตอนนั้นคือเสื้อผ้าที่ใส่เริ่มแน่นมากขึ้น เกิดความรู้สึกอึดอัดมากๆ มี 2 ทางให้เลือกนั่นก็คือ หาเสื้อผ้าใหม่มาใส่กับหาทางลดน้ำหนัก เลยตัดสินเลือกลดน้ำหนักดีกว่า แน่นอนว่าคำตอบหนึ่งที่ทุกคนรู้จักดี คือ การออกกำลังกาย สุขภาพก็ดี ร่างกายก็แข็งแรง แต่ด้วยความที่ส่วนตัวไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย จึงลองหาวิธีอื่นดูก่อน จึงได้คำตอบง่ายๆ ว่า "กินให้น้อยลงสิ" ซึ่งเป็นคำที่ง่ายๆ แต่ยากที่จะลงมือทำ เพราะบางทีไม่รู้ต้องเริ่มอย่างไร ที่จริงผมเคยลดน้ำหนักจาก 64 เหลือ 54 ในเวลา 2 เดือน เดือนแรก 6 กิโลกรัม เดือนที่ 2 อีก 4 กิโลกรัม โดยไม่ได้ออกกำลังกายอะไร แค่ลดอาหารลงอย่างเดียว พออยู่ตัวแล้วค่อยออกกำลังกายเสริมก็พอมาวันนี้เมื่อไม่ได้ควบคุมน้ำหนักอย่างต่อเนื่อง น้ำหนักก็กลับเพิ่มมาอีกครั้งที่ 62 กิโลกรัม ก็เลยอยากกลับทดสอบทฤษฎีที่เคยปฏิบัติอีกครั้ง เพียงแค่ 7 วันแรกก็เห็นผลทันทีวิธีการง่ายเริ่มต้นทำได้แบบนี้ 1. ต้องมีเครื่องชั่งน้ำหนักติจิตอลเป็นของตนเอง เพราะต้องใช้ทุกเช้า หากหยิบยืมของคนอื่นหรือไปชั่งที่อื่นอาจจะทำให้เสียเวลา เกรงใจ ขี้เกียจ และไม่ต่อเนื่องได้ ปัจจุบันราคาก็ไม่แพงมาก สามารถสั่งซื้อได้ทางออนไลน์ด้วย2. ทำตารางกระดาษ บันทึกสถิติเพื่อเห็นเป็นรูปธรรม ต้องบันทึกก่อนนอนหรือตอนเช้าของทุกๆ วัน หรือบางคนมีแอพทางโทรศัพท์มือถือที่สามารถบันทึกได้ก็สามารถใช้ได้เหมือนกัน (แต่ส่วนตัวคิดว่าเขียนใส่กระดาษดีกว่า) มีน้ำหนักแต่ละวัน รายการที่ต้องงด จดบันทึกหมายเหตุ3. ลงมือทำตามข้อปฏิบัติเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใหม่ และทำการบันทึกทุกๆ วันเพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลง อาจจะเป็นตอนเช้าของทุกๆ วันก่อนไปทำงานหรือออกจากบ้านก็ได้ หากคิดที่จะลดน้ำหนักอย่างจริงจังก็ต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเองอย่างใจจริงด้วย เริ่มจากการทานข้าวมื้อละแค่ 1 ทัพพี ทั้ง 3 มื้อให้ครบ 5 หมู่ตามปกติ ช่วงแรกๆ อาจจะอยากกินกับเยอะหน่อย แต่พอเริ่มอยู่ตัวก็ลดปริมาณลงได้ หากลดของทอด ของหวาน ของมันได้ด้วยในคราวเดียวกันก็ยิ่งดี รวมไปถึงเครื่องดื่มต่างๆ น้ำหวาน น้ำอัดลม แอลกอฮอล ฯลฯ หากลดได้ก็จะช่วยได้มาก (ทำบันทึกในตารางไว้จะได้เช็คเป็นรายวันเพื่อสำรวจพฤติกรรม) เมื่อเราเผลอไปกินอะไรที่เรากำหนดไว้แล้วรู้สึกผิด แล้วไม่ทำอีก ภารกิจการลดน้ำหนักของเราก็จะได้ผลดียิ่งขึ้นหากว่าด้วยเรื่องหลักการที่เป็นตัวเลขการใช้พลังงานของร่างกายแบบเข้าใจง่ายๆ ผู้ชายต้องการพลังงานเฉลี่ยวันละ 2,000 กิโลเเคลอรี่ ผู้หญิงต้องการเฉลี่ยวันละ 1,200 - 1,500 กิโลแคลอรี่ (ผู้ชายระบบเผาผลาญได้ดีกว่า)หากแต่ละวันสำหรับผู้ชาย หากทานอาหารวันละ 2,000 กิโลแคลอรี่ก็ถือว่าเท่าตัว น้ำหนักไม่เพิ่มหรือลด แต่ถ้าทานน้อยกว่า 2,000 กิโลแคลอรี่ เช่น 1,500 กิโลแคลอรี่ อีก 500 กิโลแคลอรี่ ร่างกายก็จะดึงอีก 500 ที่สะสมไว้ ทั้งไขมันส่วนเกิน จากร่างกาย จึงทำให้น้ำหนักลดลงไปส่วนหนึ่ง แต่ถ้าหากทานวันหนึ่ง 2,500 กิโลแคลอรี่ ส่วนเกิน 500 กิโลแคลอรี่ก็จะสะสมเป็นไขมันส่วนเกิน เพิ่มน้ำหนักไปในตัวด้วยเช่นกัน สรุปง่ายๆ คือ นำเข้าให้น้อยกว่า 2,000 กิโลแคลอรี่ (สำหรับผู้ชาย) หรือ 1,200-1,500 กิโลแคลอรี่ (สำหรับผู้หญิง) ส่วนขาดเหลือก็จะดึงพลังงานที่สะสมจากร่างกายในทุกๆ วัน น้ำหนักก็จะลดลงได้นั่นเองหากเคยสังเกตคนหลงป่าหรือคนอดอาหารเขายังมีชีวิตอยู่ได้ แม้ไม่ได้ทานอาหาร(เว้นน้ำ) ร่างกายก็จะซูบผอม เพราะระหว่างที่ไม่ได้กินอะไร พลังงานก็จะดึงส่วนที่สะสมไว้ในร่างกายมาใช้จึงทำให้ยังพอมีแรงอยู่ได้หลายวัน หรือทานอะไรเล็กน้อยเข้าไปที่น้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ ก็ยังต้องดึงพลังงานจากร่างกายมาใช้ได้ แต่พอกลับมาทานข้าวปกติร่างกายก็กลับมาเข้าที่เหมือนเดิมได้ ใครที่อยากออกกำลังกายควบคู่ด้วยก็สามารถทำได้ แต่อยากให้พฤติกรรมการทานอาหารลดลงให้อยู่ตัวก่อน เพราะถ้าออกกำลังกายไปด้วย ทำให้ร่างกายต้องใช้พลังมากกว่าเดิมอาจจะส่งผลเสียได้ หรือทำให้หิวมากกว่าเดิมจนควบคุมอาหารไม่ได้ก็เป็นไปได้ จากประสบการณ์การลดน้ำหนัก 7 วัน (9-16 ม.ค.67) โดยเริ่มชั่งน้ำหนักวันแรกเป็นเช้าวันที่ 10 ม.ค.67 ในตัวเลขที่ 62.65 กิโลกรัม พอครบ 1 สัปดาห์ในเช้าวันที่ 16 ม.ค.67 อยู่ที่ตัวเลข 60.45 กิโลกรัม สามารถลดลงได้ถึง 2.20 กิโลกรัม ดังนั้นถ้าทำต่อเนื่องถึง 1 เดือน น้ำหนัก 5 กิโลกรัม ก็ไม่ไกลเกินเอื้อมเลย ไม่ต้องไปเสียเงินไปซื้อยาหรือเข้าคอร์สที่ไหน น้ำหนักก็ลงได้ด้วยตนเอง แต่ช่วงแรกน้ำหนักก็จะลงไวหน่อย แล้วค่อยๆ ลดได้น้อยลง แต่ก็ขอให้ลดให้พอดีๆ ไม่มากจนเกินไป ไม่ทำให้ร่างกายทรุดโทรมก็พอ อีก 1 เดือน หรือ 4 สัปดาห์จะลองมาเขียนอีกครั้งว่าสามารถลดได้กี่กิโลกรัม เพราะน้ำหนักที่ลดลง 2-3 กิโลกรัม อาจจะยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะน้ำหนักลดลงต่อเนื่องจริงหรือเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนจนกว่าจะถึง 5 กิโลกรัมขึ้นไป ด้วยวิธีการลดน้ำหนักง่ายๆ ที่เริ่มจากตัวและปากของเราเอง ใครอยากลดน้ำหนักก็ลองไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับตนเองดูแล้วจะรู้สึกได้ว่าเสื้อผ้าที่เคยมั่นใจก็จะกลับมาให้รู้สึกมั่นใจได้อีกครั้งแล้วทุกๆ เช้าของเราก็จะรู้สึกตื่นเต้น ลุ้นกับตัวเลขน้ำหนักที่ลดลงทุกๆ วัน สำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนักอยู่ทุกคนทุกภาพประกอบ โดยผู้เขียนขอบคุณ Canva ใช้ตกแต่งภาพปก เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !