ความคิดสุดโต่งเหตุแห่งทุกข์ใจนาน (บทความสุขภาพจิต) ภาพจาก : Pixel2013 / pixabay “ไม่มีเขาเสียดีกว่ามั่งค๊ะเมื่อชีวิตสมรสเป็นเช่นนี้หนูคงไม่มีความสุขไปชั่วชีวิต" “ถ้าไม่รักหนูคนเดียวก็ไม่ต้องมารักกัน” “ถ้าไม่สมบูรณ์แบบไม่ต้องมีกันดีกว่า” “ถ้าชีวิตสมรสเป็นเช่นนี้หนูคงไปสู้หน้าใครๆในจังหวัดไม่ได้อีกแล้ว” นั่น!เป็นคำพูดของแม่บ้านท่านหนึ่งซึ่งอยู่ในแวดวงสังคมชั้นนำของจังหวัด ที่พูดกับผู้เขียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าขณะให้การปรึกษาสุขภาพจิต อันสืบเนื่องมาจากที่เธอเครียดจนช็อค! เมื่อจับได้ว่าสามีนอกใจไปมีหญิงอื่น จนเธอต้องเข้ารับการรักษาด้วยการใช้ยาทางสุขภาพจิตอยู่ประมาณ15วัน และอาการเครียดของเธอก็ค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ ผู้เขียนช่วยเหลือให้การปรึกษาทางสุขภาพจิตแก่เธออย่างต่อเนื่องหลายครั้งตลอดสองสัปดาห์ ด้านสามีของเธอนั้นก็ตกใจและเสียใจมากที่ภรรยาช็อคจนต้องเข้ารับการรักษาทางสุขภาพจิต หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวสามีของเธอดูแลและอยู่ใกล้ชิดเธอแทบตลอดเวลา หนึ่งกิจกรรมในช่วงเวลาดังกล่าวคือ ทั้งคู่พร้อมด้วยพ่อแม่ของฝ่ายหญิงพากันไปสาบานต่อพระประธานในวัดว่าฝ่ายชายจะไม่ทำเช่นนั้นอีก และสามีเธอเองก็รู้สึกผิด ขอโทษแล้วขอโทษอีก ภาพจาก : cocoparisienne / pixabay แต่! แม้ว่าอาการเครียดจนช็อคของเธอจะดีขึ้นมากแล้ว เมื่อผู้เขียนชวนเธอปรับมุมมองใหม่(reframing) ซึ่งเป็นหลักการหนึ่งทางจิตวิทยาที่พึงใช้รับมือต่อเรื่องราวที่ผ่านไปแล้ว เธอก็ยังมีความคิดแบบเดิมที่แข็งแกร่งจนทำให้เธอทุกข์ใจและก้าวต่อไปลำบาก ซึ่งความคิดเช่นนี้ในวิทยาการจิตบำบัดแบบปรับความคิด(cognitive therapy)เรียกว่า ความคิดที่บิดเบือน(thinking errors) ซึ่งเป็นความคิดที่ทำให้ปรับใจปรับตัวลำบากและทำให้ทุกข์นานนั่นเอง ความคิดบิดเบือนที่พบในตัวเธอมีสองอย่าง นั่นคือคิดแบบสุดโต่งที่มีแต่ขาวและดำ ไม่สามารถมองอะไรเป็นกลางๆได้เลย(All-or-nothing thinking)เช่น คิดว่า “ถ้าไม่รักฉันคนเดียวก็ไม่ต้องมีฉัน” หรือ “ถ้าไม่สมบูรณ์แบบไม่มีเสียดีกว่า” เป็นต้น และคิดในรูปแบบที่เห็นว่าเหตุการณ์ใดๆที่เกิดขึ้นในชีวิตล้วนเป็นความรุนแรงแบบสุดขีดและเป็นความหายนะ(Catastrophizing :overgeneration)ทั้งสิ้น เช่น คิดว่า ถ้าเขาเป็นเช่นนั้นฉันคงหายนะและคงไปสู้หน้าใครไม่ได้อีกแล้ว หรือ ตายแน่ตายแน่ชีวิตคู่บันไลหมดแล้ว เป็นต้น ความคิดบิดเบือนทั้งสองรูปแบบดังกล่าวนั้น ทำให้เธอปรับใจยากต่อเหตุการณ์ที่ได้ผ่านไปแล้ว ซึ่งทำให้ความทุกข์ใจไม่เบาบางไปเสียที เพราะไปจมอยู่กับการคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วด้วยมุมมองแบบสุดโต่งอีกต่างหาก แทนที่เธอจะปรับความคิดมาอยู่กับความดีงามทั้งมวลที่มีอยู่และเหลืออยู่ในปัจจุบัน ส่วนผู้เขียนก็ยังทำหน้าที่ช่วยเหลือด้านจิตใจของเธอต่อไป ด้วยวิธีการปรับความคิด และเฝ้าหวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะปรับความคิดได้ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพจิตของเธอให้ดีขึ้นนั่นเอง สังคมทุกวันนี้มีคนที่มีความคิดเช่นเธออยู่มากมายที่พร้อมพร่ำบ่นก่นด่าแต่ผู้อื่น และอยู่กับการทุกข์อกทุกข์ใจอยู่ร่ำไป คาดหวังแต่ให้บุคคลและสภาพแวดล้อมภายนอกปรับเข้ามาให้ถูกใจตน ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากมาก แต่! จิตวิทยาตะวันตกก็ให้ความสำคัญต่อสิ่งนี้อยู่มากทีเดียว ซึ่งก็ปรับได้ไม่มากนัก ทั้งยังแปรปรวนไปได้เรื่อยๆอีกต่างหาก ในขณะที่พุทธจิตวิทยากลับให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการน้อมเข้าหาตน(โอปนยิโก) นั่นคือให้ปรับปรุงและพัฒนาจากภายในใจตน โดยฝึกฝนให้รู้เท่าทันความคิดของตนเอง พร้องทั้งเข้าใจสัจธรรมว่าไม่มีสิ่งใดแน่นอน ภาพจาก : Darksouls /pixabay ผู้ที่พบกับภาวะวิกฤติของชีวิตจนจิตตกและแตกสลายนั้น นอกจากคาดหวังให้สรรพสิ่งภายนอกมาตอบสนองความต้องการของตนหมดแล้ว ยังมักจะทุกข์ระทมตรมใจเพราะกังวลต่ออนาคตที่ยังมาไม่ถึง กระทั่งไร้สติอยู่กับปัจจุบันขณะ แต่หากเข้าใจชีวิตและธรรมะอย่างแท้จริงว่าทุกอย่างเป็น อนิจจังทุกขัง อนัตตา คือมีเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปเป็นธรรมดาและไร้การควบคุม กระทั่งหมั่นฝึกสติ(ความระลึกได้)จนเกิดสัมปชัญญะ(ความรู้ตัวทั่วพร้อม)ได้แล้ว ก็จะปรับความคิดและปรับตัวปรับใจต่อเหตุการณ์ที่ช้ำใจในชีวิตได้อย่างไร้ความทุกข์ใจในที่สุด ภาพปก : Free_Fhotos / pixabay รศ.ดร.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์ นักวิชาการสื่อสารสุขภาพจิตและศาสนาปรัชญานักเขียนสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,มติชน,อมรินทร์ธรรมะ,ซีเอ็ด,ดีเอ็มจีและวิชบุ๊คประธานสถาบันพัฒนาคุณภาพมนุษย์wuttipong academy ,ไลน์ ac6555เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !