9 ปัญหาความกังวลด้านสุขภาพจิต ที่มาพร้อมกับภัยพิบัติน้ำท่วม อ่านต่อเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล ภัยพิบัติไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว ไฟไหม้ หรือพายุ ล้วนสร้างความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน แต่สิ่งที่มักถูกมองข้ามมากที่สุดคือผลกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้ประสบภัย ความไม่แน่นอน ความกลัว และการสูญเสีย ล้วนทำให้จิตใจคนเปราะบางกว่าที่คิด หลายครั้งแม้ร่างกายจะรอดมาได้ แต่ใจกลับเต็มไปด้วยรอยแผลที่ยากจะเยียวยา ความเครียด วิตกกังวล และความสิ้นหวังจึงไม่ใช่สิ่งไกลตัวค่ะ แต่เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะในกรณีน้ำท่วมซึ่งเกิดขึ้นบ่อยในหลายพื้นที่ของประเทศไทย จึงทำให้ปัญหาด้านสุขภาพจิตยิ่งชัดเจนมากขึ้น จากที่ผู้คนต้องพลัดถิ่น สูญเสียบ้านเรือน รายได้ และเผชิญสภาพแวดล้อมที่กดดันตลอดเวลา ที่ไม่ใช่แค่เรื่องการซ่อมบ้านหรือเรื่องอาหารการกินท่านั้นค่ะ แต่คือการต่อสู้กับอารมณ์ ความรู้สึก และความคิดภายในใจ ดังนั้นในบทความนี้เราจะเรียนรู้กันว่า 9 ปัญหาความกังวลด้านสุขภาพจิตที่มาพร้อมกับภัยพิบัติน้ำท่วมมีอะไรบ้าง เพื่อชี้ให้เห็นว่าการดูแลใจสำคัญไม่แพ้การฟื้นฟูร่างกาย และเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประสบภัยก้าวข้ามวิกฤตครั้งนี้ไปได้ ซึ่งต่อไปนี้คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นค่ะ 1. ความหวาดกลัวและความตื่นตระหนก เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมฉับพลัน ผู้คนจำนวนมากมักเผชิญกับความหวาดกลัวที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งความรู้สึกนี้มักเริ่มต้นจากเสียงฝนที่ตกหนักต่อเนื่อง น้ำที่ไหลแรง หรือแม้แต่ข่าวสารที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในสังคมออนไลน์ ความกลัวเหล่านี้ทำให้ร่างกายตอบสนองทันที เช่น หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออก หายใจติดขัด หรือมีอาการมือสั่น หลายคนอาจตกใจจนไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลว่าจะเก็บของหนีหรืออพยพไปที่ปลอดภัย ความรู้สึกตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นทันทีแบบนี้ หากไม่ได้รับการจัดการ อาจกลายเป็นภาวะเครียดสะสมที่บั่นทอนทั้งร่างกายและจิตใจค่ะ ในอีกด้านหนึ่งความหวาดกลัวและตื่นตระหนกที่ไม่ได้ถูกบรรเทาอาจทำให้เกิดพฤติกรรมที่เสี่ยง เช่น รีบวิ่งฝ่ากระแสน้ำโดยไม่คำนึงถึงอันตราย หรือขับรถหนีน้ำในขณะที่ทัศนวิสัยไม่เอื้ออำนวย ที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น ความกลัวบางครั้งยังแพร่กระจายไปยังสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุที่อ่อนไหวต่อบรรยากาศรอบตัว การสร้างความเข้าใจว่าอาการหวาดกลัวและตื่นตระหนกเป็นเรื่องปกติในสถานการณ์ภัยพิบัติ แต่ต้องหาวิธีควบคุม เช่น การหายใจลึกๆ การได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และการได้รับกำลังใจจากคนรอบข้าง จะช่วยให้ผู้ประสบภัยมีสติและรับมือกับเหตุการณ์ได้อย่างมั่นคงมากขึ้นค่ะ 2. ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ การเผชิญกับภัยพิบัติน้ำท่วมไม่ได้ทำให้เหนื่อยกายเพียงอย่างเดียวค่ะ แต่ยังสร้างภาระทางใจอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้ประสบภัยต้องคอยเฝ้าระวังระดับน้ำ ขนย้ายสิ่งของ ดูแลสมาชิกในครอบครัว และกังวลเรื่องอนาคตที่ไม่แน่นอน เมื่อสถานการณ์ยืดเยื้อหลายวันหรือหลายสัปดาห์ ความรู้สึกกดดันสะสมนี้จะนำไปสู่ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ ทำให้ไม่เหลือพลังใจที่จะจัดการปัญหา บางคนอาจรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่อยากทำอะไร และมองทุกอย่างเป็นภาระที่หนักเกินไป โดยความเหนื่อยล้าทางอารมณ์นี้ ยังแสดงออกในรูปแบบของการหงุดหงิดง่าย ขาดความอดทน หรือเกิดการทะเลาะกันภายในครอบครัวโดยไม่รู้ตัว เด็กๆ อาจรู้สึกว่าพ่อแม่กดดันหรือโกรธง่ายขึ้น ขณะที่ผู้ใหญ่เองก็รู้สึกว่าตัวเองหมดแรงจะควบคุมอารมณ์ การปล่อยให้ความเหนื่อยล้าเหล่านี้สะสมโดยไม่มีการพักผ่อนหรือเยียวยา อาจทำให้จิตใจถดถอยและกลายเป็นภาวะซึมเศร้าได้ การจัดให้มีพื้นที่พักใจ การพูดคุยปรับทุกข์ และการแบ่งหน้าที่ในการดูแลสิ่งต่างๆ อย่างเหมาะสม จึงเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ในภาวะวิกฤตนะคะ 3. ความเครียดจากการพลัดถิ่น เมื่อเกิดน้ำท่วม ผู้คนจำนวนมากถูกบังคับให้ออกจากบ้านไปอยู่ในศูนย์พักพิงหรือพื้นที่ชั่วคราว การต้องพลัดถิ่นเช่นนี้สร้างความรู้สึกไม่มั่นคงและกระทบต่อสภาพจิตใจอย่างรุนแรง เพราะบ้านคือพื้นที่ปลอดภัยที่ให้ความรู้สึกเป็นเจ้าของ แต่เมื่อถูกน้ำท่วมทำลาย ทุกอย่างกลับกลายเป็นความไม่แน่นอนทันที การอยู่ร่วมกับคนแปลกหน้าในสถานที่ที่ขาดความเป็นส่วนตัว ทำให้หลายคนรู้สึกเครียด วิตกกังวล และไม่สามารถปรับตัวกับสภาพใหม่ได้ง่าย โดยเฉพาะผู้สูงอายุและเด็กที่มักสับสนกับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน นอกจากนี้ความเครียดจากการพลัดถิ่นยังเกิดจากปัจจัยแวดล้อมที่ตึงเครียด เช่น เสียงรบกวนในศูนย์พักพิง อาหารการกินที่ไม่คุ้นเคย หรือการขาดอิสระในการใช้ชีวิตประจำวัน ความกดดันเหล่านี้หากสะสมเป็นเวลานานอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า ความรู้สึกโดดเดี่ยว หรือแม้แต่การสูญเสียแรงจูงใจในการใช้ชีวิตค่ะ ดังนั้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพักผ่อน มีพื้นที่สำหรับการพูดคุยปรับทุกข์ และการได้รับการดูแลทางจิตใจตั้งแต่แรกเริ่ม จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยบรรเทาความเครียดจากการพลัดถิ่น และทำให้ผู้ประสบภัยกลับมามีกำลังใจได้เร็วขึ้นนะคะ 4. ความรู้สึกโดดเดี่ยวและขาดการเชื่อมโยง ในสถานการณ์น้ำท่วมหลายครอบครัวต้องพลัดพรากจากกันชั่วคราว บางคนติดอยู่ในพื้นที่ที่ไม่สามารถติดต่อสื่อสารได้ เนื่องจากไฟฟ้าดับหรือเครือข่ายโทรศัพท์ล่ม ความเงียบและการขาดข่าวสารจากคนใกล้ชิด ทำให้เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวรุนแรง ผู้สูงอายุที่อยู่ลำพังยิ่งมีความเสี่ยงสูง เพราะไม่เพียงแต่เผชิญกับสภาพกายที่อ่อนแอ แต่ยังเผชิญกับการขาดการพึ่งพิงทางใจ ซึ่งทำให้รู้สึกว่าตนเองถูกทอดทิ้งและไม่มีใครเหลียวแล โดยความรู้สึกโดดเดี่ยวนี้ยังส่งผลต่อพฤติกรรมและอารมณ์อย่างชัดเจน ซึ่งหลายคนเลือกที่จะเก็บตัวเงียบ ไม่อยากพูดคุยหรือเข้าร่วมกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น จนกลายเป็นการตัดขาดตัวเองจากสังคม หากปล่อยให้ยืดเยื้อ ความรู้สึกโดดเดี่ยวสามารถพัฒนาไปสู่ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรือแม้แต่สิ้นหวังได้ง่ายค่ะ ซึ่งการสร้างเครือข่ายสนับสนุน การเยี่ยมเยียน พูดคุย หรือแม้แต่การให้ผู้ประสบภัยมีช่องทางสื่อสารกับคนที่รัก จะช่วยลดความรู้สึกขาดการเชื่อมโยงและสร้างพลังใจให้กลับมามีความหวังได้อีกครั้งนะคะ 5. ความรู้สึกผิดและโทษตนเอง เมื่อภัยพิบัติน้ำท่วมเกิดขึ้นหลายคนมักย้อนกลับไปคิดถึงสิ่งที่ควรทำแต่ไม่ได้ทำ เช่น ไม่ย้ายของสำคัญขึ้นที่สูง ไม่เตรียมเสบียงอาหารไว้ล่วงหน้า หรือไม่รีบอพยพครอบครัวทันเวลา ความคิดเหล่านี้กลายเป็นแรงผลักที่ทำให้รู้สึกผิดและโทษตนเองอย่างหนัก แม้ว่าในความจริงแล้วสถานการณ์นั้นจะเกินความสามารถในการควบคุม ซึ่งความรู้สึกผิดแบบนี้จะกัดกินจิตใจ ทำให้ผู้ประสบภัยรู้สึกว่าตนเองเป็นสาเหตุของความสูญเสีย และลดทอนคุณค่าในตัวเองโดยไม่รู้ตัว หากความรู้สึกผิดและการโทษตนเองดำรงอยู่นาน จะส่งผลต่อสุขภาพจิตในระยะยาวค่ะ โดยจะทำให้ขาดแรงจูงใจในการฟื้นฟูหรือไม่กล้าตัดสินใจใดๆ ในอนาคต บางคนอาจเก็บตัว ไม่อยากสื่อสาร และเริ่มมองว่าตนเองไร้ค่า ดังนั้นการจะเยียวยาจึงต้องเริ่มจากการสร้างความเข้าใจว่า ภัยพิบัติเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมไม่ใช่ความผิดส่วนตัว การได้รับกำลังใจจากคนรอบข้าง และการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต จะช่วยให้ผู้ประสบภัยเรียนรู้ที่จะให้อภัยตนเองและก้าวข้ามความรู้สึกผิดไปได้นะคะ 6. ความโศกเศร้าและการสูญเสีย รู้ไหมคะว่าเมื่อเกิดภัยพิบัติน้ำท่วม สิ่งที่สร้างความบอบช้ำทางใจมากที่สุดคือการสูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่เคยอาศัย ทรัพย์สินที่สะสมมาตลอดชีวิต รูปถ่ายหรือของใช้ที่มีคุณค่าทางจิตใจ ไปจนถึงสัตว์เลี้ยงหรือพืชผลทางการเกษตรที่เป็นแหล่งรายได้ ความสูญเสียเหล่านี้ทำให้ผู้ประสบภัยตกอยู่ในภาวะโศกเศร้าอย่างลึกซึ้ง หลายคนร้องไห้ไม่หยุด เก็บตัวเงียบ หรือไม่อยากสื่อสารกับใคร เพราะรู้สึกว่าทุกสิ่งที่ผูกพันได้พังทลายลงในพริบตาเดียว ความโศกเศร้านี้หากไม่ได้รับการเยียวยาอย่างเหมาะสม อาจพัฒนาไปสู่ภาวะซึมเศร้า ความสิ้นหวัง หรือแม้กระทั่งการสูญเสียแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตต่อไป ผู้ประสบภัยบางคนอาจมองว่าชีวิตไม่เหลือคุณค่าและหมดความหมาย การช่วยเหลือจึงไม่ควรจำกัดแค่การฟื้นฟูทางกายภาพค่ะ แต่ต้องรวมถึงการดูแลด้านจิตใจด้วย การเปิดโอกาสให้ผู้คนได้เล่าถึงความสูญเสีย การได้รับกำลังใจจากชุมชน และการเข้าถึงการดูแลด้านสุขภาพจิตอย่างทันท่วงที จะช่วยให้ผู้ประสบภัยสามารถก้าวข้ามความโศกเศร้าและเริ่มสร้างความหวังใหม่ได้อีกครั้งค่ะ 7. ความกังวลด้านการเงิน คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่าหลังจากเกิดน้ำท่วม ผู้ประสบภัยจำนวนมากต้องเผชิญกับภาระค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูงขึ้นทันที ทั้งค่าซ่อมแซมบ้าน ค่าซื้อข้าวของเครื่องใช้ใหม่ และค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตประจำวัน ในขณะเดียวกันรายได้หลักของครอบครัวก็มักหยุดชะงัก เช่น ร้านค้าต้องปิด โรงงานหยุดการผลิต หรือพื้นที่เกษตรกรรมถูกน้ำท่วมจนเสียหาย โดยความไม่สมดุลนี้สร้างความกังวลอย่างมหาศาล ทำให้ผู้คนเกิดความเครียดสะสมและรู้สึกเหมือนถูกกดดันจากปัญหาที่ไม่มีทางออก นอกจากนี้ความกังวลทางการเงินยังส่งผลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัว หลายครอบครัวเกิดการโต้เถียง หรือขัดแย้งกันเรื่องค่าใช้จ่ายและการจัดการทรัพยากรที่เหลืออยู่ บางคนถึงขั้นรู้สึกหมดหวังเพราะไม่สามารถหาเงินมาชดเชยความเสียหายได้ทันเวลา หากปล่อยไว้นานความเครียดนี้อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าหรือความรู้สึกไร้ค่าค่ะ ดังนั้นการช่วยเหลือด้านการเงินจากภาครัฐหรือองค์กรต่างๆ รวมถึงการได้รับคำปรึกษาด้านการจัดการหนี้และวางแผนรายจ่าย จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อบรรเทาความกังวล และทำให้ผู้ประสบภัยกลับมามีกำลังใจในการเริ่มต้นใหม่ 8. ความไม่แน่นอนต่ออนาคต หลังจากน้ำลดลงสิ่งที่ยังคงกดดันผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง คือ ความไม่แน่นอนต่ออนาคตค่ะ หลายครอบครัวไม่รู้ว่าจะกลับมาใช้ชีวิตได้เมื่อไร บ้านที่เสียหายหนักควรซ่อมหรือสร้างใหม่ดี? บางคนลังเลว่าจะอพยพถาวรไปอยู่ที่อื่นหรือรอคอยความช่วยเหลือ ความไม่รู้เหล่านี้กลายเป็นต้นตอของความกังวลเรื้อรัง เพราะทุกการตัดสินใจดูเหมือนเต็มไปด้วยความเสี่ยงและความไม่แน่นอน ความไม่แน่นอนยังส่งผลต่อสภาพจิตใจโดยตรง ทำให้ผู้คนรู้สึกไร้เสถียรภาพ ราวกับชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย เด็กๆ อาจวิตกกังวลเรื่องการเรียนต่อ ผู้ใหญ่กังวลเรื่องงานหรือรายได้ ขณะที่ผู้สูงอายุมองอนาคตด้วยความสิ้นหวัง หากไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและแผนฟื้นฟูที่ชัดเจน ความไม่แน่นอนนี้อาจสะสมจนพัฒนาเป็นความเครียดเรื้อรังหรือภาวะซึมเศร้าได้ การสื่อสารอย่างโปร่งใสจากภาครัฐ การวางแผนระยะสั้นและระยะยาวที่เป็นรูปธรรม จะช่วยให้ผู้ประสบภัยรู้สึกมั่นคงขึ้นและพร้อมก้าวต่อไปค่ะ 9. ภาวะซึมเศร้าและความสิ้นหวัง เมื่อสถานการณ์น้ำท่วมยืดเยื้อหรือสร้างความสูญเสียมหาศาล ผู้ประสบภัยจำนวนไม่น้อยอาจเข้าสู่ภาวะซึมเศร้า มีความรู้สึกเศร้าลึก ขาดความสุขจากสิ่งที่เคยทำ และไม่อยากเข้าสังคมคือสัญญาณที่พบได้บ่อยค่ะ หลายคนอาจนอนไม่หลับ เบื่ออาหาร หรือไม่อยากลุกขึ้นทำกิจวัตรประจำวัน เพราะมองว่าชีวิตไม่เหลือคุณค่า เพราะความสิ้นหวังเข้ามาแทนที่แรงบันดาลใจ ทำให้ไม่อยากพยายามแก้ไขหรือสร้างสิ่งใหม่ๆ อีกต่อไป ภาวะซึมเศร้าและความสิ้นหวังนี้ถือว่าอันตรายอย่างยิ่งนะคะ เพราะหากไม่ได้รับการดูแล อาจนำไปสู่ความคิดไม่อยากมีชีวิตอยู่ได้และทำร้ายตัวเอง ผู้ประสบภัยบางรายเลือกเก็บตัวเงียบ ไม่เล่าให้ใครฟัง ทำให้คนรอบข้างไม่ทันสังเกตเห็นสัญญาณเตือน ซึ่งการเข้าถึงบริการสุขภาพจิตอย่างทันท่วงที เช่น การปรึกษานักจิตวิทยาหรือสายด่วนสุขภาพจิต การได้รับกำลังใจจากครอบครัวและชุมชน รวมถึงการมีโอกาสได้พูดถึงประสบการณ์ที่เจอ จะช่วยคลายความรู้สึกโดดเดี่ยว และค่อยๆ ดึงผู้ประสบภัยกลับมามีความหวังในการใช้ชีวิตอีกครั้งได้ค่ะ และทั้งหมดนั้นคือตัวอย่างของปัญหาด้านสุขภาพจิต ที่สามารถพบได้ในสถานการณ์ที่มีน้ำท่วมเกิดขึ้นค่ะ อย่างไรก็ตามการเฝ้าสังเกตผู้คนรอบตัวในช่วงภัยพิบัติน้ำท่วมเป็นสิ่งสำคัญนะคะ เพราะหลายครั้งสัญญาณของปัญหาสุขภาพจิตมักถูกมองข้าม เราอาจสังเกตได้จากการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เช่น คนที่เคยร่าเริงกลับเก็บตัวเงียบ เด็กที่เคยเล่นสนุกกลับไม่ยิ้ม หรือผู้สูงอายุที่พูดถึงความรู้สึกหมดหวังบ่อยขึ้น การใส่ใจสัญญาณเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้เราเข้าใจสถานการณ์ของพวกเขา แต่ยังเป็นก้าวแรกในการยื่นมือเข้าช่วยเหลือและป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามรุนแรงขึ้นค่ะ หากเราเองเป็นผู้ที่เผชิญความเครียดหรือความกังวลด้วยเองในระหว่างน้ำท่วม สิ่งแรกที่ควรทำคือยอมรับว่าความรู้สึกเหล่านี้เป็นเรื่องปกติในภาวะวิกฤตค่ะ ซึ่งการหายใจลึกๆ จัดการเวลาให้มีช่วงพักผ่อน และแบ่งปันความรู้สึกกับคนที่ไว้ใจ จะช่วยลดภาระทางใจได้ นอกจากนี้การขอความช่วยเหลือจากสายด่วนสุขภาพจิตหรือผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่ความอ่อนแอค่ะ แต่คือการแสดงออกถึงความกล้าหาญที่พร้อมดูแลตัวเองอย่างจริงจังต่างหาก เพราะการเห็นความสำคัญของสุขภาพจิตในช่วงน้ำท่วม ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวบุคคล แต่คือรากฐานของการฟื้นฟูทั้งครอบครัวและชุมชน เพราะจิตใจที่แข็งแรงจะทำให้เรามีแรงลุกขึ้นสู้และสร้างใหม่ได้อีกครั้ง การดูแลสุขภาพจิตจึงควรถูกมองว่าสำคัญไม่แพ้การมีอาหาร น้ำสะอาด หรือที่พักอาศัย และการช่วยกันสร้างบรรยากาศของความเข้าใจและกำลังใจ จะทำให้ทุกคนผ่านช่วงเวลาเลวร้ายไปได้อย่างเข้มแข็งยิ่งกว่าเดิมค่ะ และจากที่ผู้เขียนได้มีประสบการณ์มานั้น ได้พบว่าน้องสาวกังวลใจอย่างมาก ตอนที่บ้านเขาน้ำท่วมเมื่อหลายปีก่อนค่ะ เพราะการใช้ชีวิตหยุดชะงักไป พื้นบ้านเสียหายและยังเสี่ยงต่อปัญหาด้านสุขอนามัยเพราะต้องลุยน้ำ และจากข่าวที่น้ำท่วมตามสื่อต่างๆ ผู้เขียนพบว่าผู้คนก็กังวลใจ บางคนร้องไห้ บางคนขนาดเป็นฝรั่งตัวใหญ่บึ๊กยังตื่นตระหนกตกใจเลยค่ะ ยังไงนั้นตั้งสติก่อนนะคะ พอตั้งสติได้แล้วใจเราจะนิ่งมากขึ้น เราจะคิดลบน้อยลง พอเป็นแบบนั้นเราจะมองเห็นว่าจะต้องเริ่มจัดการอะไรยังไงก่อนหลังดี ค่อยๆ คิด ค่อยๆ แก้ไขไปทีละอย่างค่ะ และด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากคุณผู้อ่านชื่นชอบเนื้อหาแนวนี้ อย่าลืมกดติดตามหรือบันทึกโปรไฟล์ไว้ เพื่อจะได้ไม่พลาดข้อมูลใหม่ๆ ในบทความถัดไป หากสนใจอ่านบทความทั้งหมดของผู้เขียน ก็สามารถกดเข้าไปดูได้จากโปรไฟล์เช่นกันค่ะ #ปัญหาสุขภาพจิต #ผลกระทบจากภัยพิบัติ #ผลกระทบจากน้ำท่วม #MentalHealth เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปก โดย Valley Guide จาก Unsplash และออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหาโดย: ภาพที่ 1 โดย Rapha Wilde จาก Unsplash, ภาพที่ 2 ออกแบบใน Canva- ภาพที่ 3 โดยผู้เขียน และภาพที่ 4 โดย Nik Shuliahin จาก Unsplash เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล 9 เทคนิคจัดการสุขอนามัย สร้างนิสัยดีๆ ที่ทำได้ง่ายในทุกวัน 8 วิธีลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ทำยังไงดี ดื่มเหล้าน้อยลง 8 วิธีจัดการสิ่งของปนเปื้อน หลังน้ำท่วม ที่ไม่สามารถใช้ได้ เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !