ความสุขหรือความทุกข์...จะเกิดขึ้นหรือไม่ ก็อยู่ที่ใจและสมองของเราเป็นตัวตัดสิน ญาพึ่งได้รับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ก่อนที่อาการซึมเศร้าของญาจะดีขึ้น ตอนนี้ญาอายุ 23 ปี และกำลังต่อสู้กับโรคซึมเศร้า โรคที่เป็นอุปสรรคอันดับหนึ่งในชีวิตของญา และญาอยากถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ที่ญาได้พบ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และเพื่อเป็นกำลังใจให้กับเพื่อน ๆ ที่กำลังอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เพราะญาเชื่อค่ะว่า ไม่มีใครเข้าใจคนเป็นโรคซึมเศร้าได้เท่ากับคนที่เป็นเหมือนกันแล้ว เส้นทางสีเทาของญาเริ่มต้นตั้งแต่ญาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโรคซึมเศร้าคืออะไร และญาตกใจมากเมื่อรู้ว่า เชสเตอร์ เบเนตัน นักร้องนำวง Linkin Park ที่ญาและพี่ชายชื่นชอบจะจบชีวิตลงทั้ง ๆ ที่ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยเรื่องราวดี ๆ และผู้คนที่รักเขา ญาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาต้องฆ่าตัวตาย แต่พออายุมากขึ้นญาก็เริ่มรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่มันเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทางด้านจิตใจ ญาถูกเลี้ยงดูแบบไข่ในหิน ไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก และคุณพ่อคุณแม่ค่อนข้างคาดหวังกับผลการเรียนของญามาก พ่อแม่คือทุกสิ่งทุกอย่างของญาและญาไม่อยากให้ท่านทั้งสองผิดหวัง ช่วงมัธยมต้นถึงมัธยมปลายจึงเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน หนังสือ และเรียนพิเศษ ญาไม่ได้รับอนุญาตให้ทำกิจกรรมที่ทำให้กลับค่ำ และไม่กล้าที่จะออกไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ เหมือนเด็ก ๆ ทั่วไป เพราะบ้านของญาอยู่ต่างอำเภอที่ห่างจากตัวโรงเรียนมาก สังคมโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษเต็มไปด้วยการแข่งขัน และความทะเยอทะยาน ญาก็เป็นหนึ่งในนั้น แม้จะรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อย แต่เมื่อได้เห็นพ่อแม่ภูมิใจก็รู้สึกดีใจไปด้วย เลยทำแบบนี้มาตลอดจนกระทั่งญาตัดสินใจที่จะขัดใจพ่อแม่ด้วยการ เลือกสายการเรียนเอง ญาไม่ใช่เด็กที่เก่งคณิตศาสตร์ค่ะ และญาชอบการอ่านหนังสือมากกว่าการคิดคำนวณ ญาเลือกที่จะเรียนในสายภาษาที่ขัดกับความเชื่อของผู้ปกครองหลายท่าน ว่าเป็นสายการเรียนที่ไม่ค่อยดีนัก แต่เชื่อไหมคะว่าสายภาษาทำให้ญาคลายจากความเครียดได้อีกเปาะหนึ่ง และทำให้ญามีความกล้ามากยิ่งขึ้น แต่ในเรื่องการแข่งขันนั้นก็ยังคงมีอยู่ จนกระทั่งวันที่ญาต้องเข้ามหาวิทยาลัย ญาอยากเรียนวรรณคดีไทยมากอยากที่จะเข้าคณะมนุษยศาสตร์ ฯ มาโดยตลอดและญาก็สอบติดรอบสัมภาษณ์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แต่ความหวังของพ่อแม่นั้นอยากให้ญาเรียนครู ญารู้ดีว่าการเรียนครูนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ครูคือแม่พิมพ์ของชาติ คือคนที่จะต้องสอนคน และนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ครูจะมี "อิสระ" ญาไม่อยากเรียนแต่ไม่ขัดพ่อแม่ ในที่สุดญาสอบติดครูและต้องสละคณะในฝันของตัวเองไป การเรียนครูที่มหาวิทยาลัยของญาค่อนข้างเข้มงวดมาก มีกิจกรรมที่เยอะกว่าคณะอื่น ๆ และมีกฎระเบียบที่เข้มงวด ญาพยายามมองหาที่พึ่งมาโดยตลอด เพราะญาไม่เคยห่างจากครอบครัวขนาดนี้ ญาเริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองโดยการเข้าสู่การเป็นเด็กกิจกรรม และสโมสรนิสิตก็เป็นบ้านอีกหลังที่ทำให้ญามีความสุข ชีวิตมหาวิทยาลัยของญาเหมือนจะไม่มีอะไร แต่เชื่อไหมคะว่าหลังจากนั้นต่างหากที่ชีวิตของญาได้เหยียบเข้ามาในโลกสีเทา ญาทะเลาะกับทางบ้านบ่อย ๆ เรื่องที่ญาทำกิจกรรม แต่ญาพยายามรักษาเกรดเอาไว้ที่ 3.8 มาโดยตลอดแต่มีเทอมหนึ่งที่เกรดของญาตกลงมาไม่มากนัก และทางบ้านก็เริ่มโทษว่าเพราะญาทำกิจกรรม ความทะเยอทะยานในตัวญาเพิ่มมากขึ้นกว่าตอนเรียนมัธยมหลายเท่า ญาเรียนอย่างหนักและทำกิจกรรมหนักเช่นกันเพื่อพิสูจน์ตนเองให้พ่อแม่เห็น และไม่อยากออกจากสโมสรนิสิต การต่อสู้ก่อให้เกิดความเครียด ญาเรียนจิตวิทยาครูก็รู้ตัวเองดีว่าตอนนี้ตัวเองเริ่มเครียดมากแล้ว และเข้ารักษาโรคเครียดทันที ญากินยาตามหมอสั่งและปิดเทอมกลับมาพักที่บ้าน แต่ทว่าครอบครัวยังมีความเชื่อที่ไม่ถูกต้องมากนักเกี่ยวกับการรักษาทางจิตเวช "ยิ่งกินยา ยิ่งเป็นบ้า" ความเชื่อนี้ญาเชื่อแน่ค่ะว่าใครหลายคนคงเคยได้ยิน แม่ไม่ยอมให้กินยาแต่ญาก็แอบกิน ญาเริ่มเครียดเพราะความคิดมากและความขุ่นเคืองที่ไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่ญาเป็น ญากลับมาที่มหาวิทยาลัยอีกครั้งและมันยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้าย ญาประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ล้ม ทำให้ขาของญาเจ็บเดินไม่ถนัดและศีรษะของญากระแทกพื้นอย่างแรง ญาเป็นคนที่ทำอะไรด้วยตัวเองมาตลอดก็ต้องเป็นภาระให้เพื่อน ทั้งพาไปล้างแผล พาไปเรียน ถึงแม้เพื่อนจะดีกับญามาก ๆ แต่ญาก็อารมณ์ร้ายใส่เพื่อนในบางครั้ง เพื่อนไม่อยากให้ญาออกไปไหนมาไหนเพราะเป็นห่วงกลัวญาเหนื่อย แต่เชื่อไหมว่ามันเหมือนนรกบนดิน ญานั่งอยู่ที่มุมห้องในทุก ๆ คืน เอาแต่ร้องไห้ นอนไม่หลับ และผอมลงมาก ญาเจ็บแผลและเครียดมาก ๆ เพราะไม่สามารถไปเรียนไปทำกิจกรรมอะไรได้ ญาขังตัวเองในห้องมืด ๆ ร้องไห้ ไม่มีหนทาง และทุกอย่างมืดมน เมื่อไหร่ที่เพื่อนกลับหรือมาส่งญาไว้ที่ห้อง ญาจะรู้สึกอ้างว้างและบางครั้งก็อิจฉาเพื่อนที่เขาได้ไปเที่ยวในที่ต่าง ๆ แต่ญาทำได้แค่อยู่ในห้อง บาดแผลที่กายของญาลดลงแต่บาดแผลในใจกว้างมากขึ้น ญาทำให้เพื่อน ๆ หลายคนเป็นห่วงและรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระ เป็นตัวที่น่ารังเกียจ มีช่วงหยุดครั้งหนึ่งที่ญาได้กลับบ้านและมันก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต ญาต้องสอบและการสอบครั้งนี้หมายถึงอนาคตของการเป็นข้าราชการของญา ญารู้แค่ว่าตัวเองไม่อยากเป็น แต่ใจหนึ่งก็ไม่กล้าที่จะขัดใจพ่อแม่และกลัวว่าจะทำให้ท่านเสียใจ ญาต้องอดทนอ่านหนังสือท่ามกลางความเครียดและความกดดัน ป้าข้างบ้านและอะไรหลายๆ อย่างกดดันญาจนมาถึงจุดนี้ จุดที่ญาเดินเข้ามาอยู่ใจกลางโลกสีเทา ในคืนที่ฝนตกหนัก ญานอนอยู่ในห้องของตัวเองพร้อมกับคิดว่า "เราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม ในเมื่อเราไม่เคยมีชีวิตเป็นของตัวเองเลย" และความต้องการที่แฝงเอาไว้ในใจมันก็เด่นชัด "อยากหายไปจากโลกนี้" แต่ญายังไม่ได้ทำอะไรกับตัวเอง ญาหลับตาลงและมองเห็นภาพต่าง ๆ ภาพที่ตัวเองทุกข์ทรมาน ภาพที่ตัวเองร้องไห้ ภาพความยากลำบากในการเรียน ภาพที่ไม่เคยสมหวังในเรื่องอะไรเลย ทั้งหมดมันฉายขึ้นมากมายราวกับมีจอขนาดใหญ่ล้อมรอบตัวญาเอาไว้ ญาร้องไห้ออกมาอย่างหนักและร้องอย่างนั้นจนกระทั่งเหมือนมีบางอย่างเข้ามาในความคิด มันเป็นภาพที่ญาได้ลงโรงเรียนและเห็นรอยยิ้มของนักเรียน ญานึกถึงสิ่งที่ญาเรียนมานั่นก็คือ จิตวิทยาครู ญารู้ตัวแล้วว่าตอนนี้ญาผิดปกติอย่างหนักและเริ่มที่จะควบคุมความทุกข์ในใจไม่ได้ ญาตัดสินใจอยู่ในสภาพนั้นพยายามไม่ทำร้ายตัวเอง แต่ก็ข่วนแขนของตัวเองจนเป็นรอยเพียงเพราะอยากเห็นเลือด และอยากเจ็บปวดเท่านั้น ในตอนเช้าญาตัดสินใจไปที่โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์โดยที่ญาบอกพ่อแม่เพียงแค่ว่าอยากไปคุยกับจิตแพทย์ เพื่อน ๆ คงนึกภาพออกนะ ว่าเด็กอายุ 20 ปี สะพายกระเป๋าเป้เข้าไปในโรงพยาบาลที่ใครหลายคนเรียกว่า "โรงพยาบาลบ้า" จะสร้างความแปลกใจให้คนอื่นมากแค่ไหน ญาเดินไปหาเจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่ก็ดีกับญามาก ๆ พาญาไปประเมินอาการ และญาได้เล่าทุกอย่างที่อัดอั้นในใจ สีหน้าของพยาบาลที่ประเมินอาการแสดงออกได้ชัดว่าตอนนี้ญากำลังเจอกับอะไร และญาเริ่มถูกส่งตัวไปในที่ต่าง ๆ จนกระทั่งถึงมือคุณหมอ คนที่ทำให้ญาได้ปลดล็อกความรู้สึกทุกอย่างของตัวเอง คุณหมอเป็นคนดุมาก ๆ แต่ญาสัมผัสได้ว่าญาต้องพึ่งท่าน และท่านก็ให้ญาโทรตามพ่อแม่ ญาพยายามคัดค้านแต่ท่านก็ยืนยันว่าพ่อแม่ต้องมา เมื่อพ่อแม่มาถึงท่านก็เลือกที่จะให้ญาเล่าหรือจะให้ท่านเล่าเอง ญาไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว ญาจึงตัดสินใจบอกพ่อกับแม่ว่า "หนูไม่อยากเป็นครู" ญามองหน้าพ่อ พ่อที่ญารักมาก พ่อเป็นผู้ชายเข้มงวดแต่ใจดี ท่านน้ำตาเอ่อและญาเริ่มระบายสิ่งต่าง ๆ ในใจทั้งน้ำตา เมื่อญาเริ่มเล่าจนหมด คุณหมอก็ได้อธิบายเรื่องอาการของญาและการรักษาให้พ่อแม่ฟัง พ่อแม่ญาช็อกมาก ญาเลือกที่จะขอเรียนต่อและเลือกที่จะไม่รักษาในโรงพยาบาล ญาเลือกที่จะเข้ามาทำจิตบำบัดทุกสัปดาห์และกินยาที่หมอสั่ง คนในครอบครัวค่อนข้างปรับตัวกับญาได้ยาก และพ่อแม่ก็ขอโทษญาที่ไม่เข้าใจความรู้สึกของญา สิ่งที่ลำบากมากที่สุดคือการปรับตัวกับยาต่าง ๆ ที่ทรมานและทำให้ร่างกายของญาเปลี่ยนไป ญาเคยน้ำหนัก 55 กิโลกรัม แต่ขณะนั้นญาน้ำหนักเพียง 45 กิโลกรัม ญากลับไปเรียนเมื่ออาการดีขึ้นมานิดหน่อยและในสภาพที่ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอะไรหลงเหลืออยู่ การกลับมาเรียนครั้งนี้ญาก็เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย อยากอยู่ตนเดียว และทรมาน ญาเหมือนซากคนที่มีลมหายใจ ไม่รู้สึกมีความสุข ไม่อยากอาหารและเริ่มกรีดแขนตัวเอง เพราะอยากที่จะกลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง ญากรีดไปเรื่อย ๆ และเมื่อการประเมินอาการครั้งต่อมาญาก็สารภาพให้หมอฟัง ญาต้องทำจิตบำบัดต่อเนื่องหลายครั้ง และนั่นก็เป็นจุดที่ทำให้ญา มีพลังมากพอที่จะเล่าเรื่องราวของตัวเองให้เป็นอุทาหรณ์ให้กับใครหลายคน ญาเป็นคนที่รักคนรอบข้างมาก และน้องคนหนึ่งที่ญารักเหมือนน้องสาวจริง ๆ ของญา ป่วยด้วยโรคซึมเศร้าเช่นกัน วันนั้นญาร้องไห้กอดน้องและมองแผลของน้องที่ข้อมือ ญาเอาแต่พูดว่าทำไมไม่ฟังพี่ เพราะญามักพูดเสมอว่าอย่าเป็นแบบพี่เลยนะมันทรมาน เมื่อเห็นน้องอ่อนแอเราที่เป็นพี่ก็มีแรงฮึดขึ้นมา เพราะไม่อยากให้น้องเห็นสภาพที่น่าอนาถของตัวเอง และอยากทำให้น้องเห็นว่าพี่จะก้าวข้ามมันไปให้ได้ เนื้อหา/ภาพ : ญาณารา