ไบโอติน (Biotin) ไบโอติน (Biotin) หรือ วิตามินเอช (Vitamin H) มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วิตามินบี7 (Vitamin B7) ถูกพบได้ในกลุ่มเมล็ดพืชต่างๆ ไข่ น้ำนม เนย โยเกิร์ต ผลไม้ ต้บหมู เนื้อวัว ปลาทูน่า ปลาแซลมอน และยังพบได้ในอาหารชนิดอื่นๆอีกมากมาย นอกจากนี้แบคทีเรียในลำใส้ยังสามารถผลิตไบโอตินให้กับร่างกายได้อีกด้วย เมื่อร่างกายมีลักษณะขาดไบโอติน จะทำให้มีอาการผมขาดหลุดร่วง ผิวแห้ง ตาแห้ง ปากแห้ง อ่อนเพลีย และอาจทำให้มีอาการซึมเศร้า นอนไม่หลับ ซึ่งในปัจจุบันไบโอตินถูกสกัดอยู่ในผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ซึ่งหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด ไบโอตินมีประโยชน์อย่างไร? ช่วยลดคอเลสเตอรอลแอลดีแอง (LDL) หรือไขมันเลว ซึ่งเป็นตัวการของโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อต่างๆ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ช่วยเรื่องการทำงานของระบบประสาท และความจำ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เต่งตึง เปล่งปลั่ง ช่วยบำรุงเส้นผม ลดปัญหาการขาดร่วง ช่วยบำรุงดวงตา และปากให้ชุ่มชื้น ช่วยบำรุงเล็บให้แข็งแรง ไบโอติน เป็นวิตามินละลายในน้ำ จึงไม่สะสมในร่างกาย มีความปลอดภัยในการใช้งาน ตามที่องค์กรอาหารและยารายงานว่า วิตามินชนิดนี้ปลอดภัยและสามารถใช้ได้ดีหากรับประทานในปริมาณที่แนะนำ แต่ยังไม่มีขนาดที่แนะนำให้รับประทานที่ชัดเจน มีเพียงแค่คำแนะนำให้รับประทานวิตามินชนิดนี้ให้เพียงพอต่อวันตามหลักต่อไปนี้ แรกเกิด–6 เดือน: 5 ไมโครกรัม 7 เดือน-12 เดือน: 6 ไมโครกรัม 1-3 ปี: 8 ไมโครกรัม 4-8 ปี: 12 ไมโครกรัม 9-13 ปี: 20 ไมโครกรัม 14-18 ปี: 25 ไมโครกรัม อายุมากกว่า 18 ปี: 30 ไมโครกรัม ระหว่างตั้งครรภ์: 30 ไมโครกรัม ระหว่างการให้นมบุตร: 35 ไมโครกรัม แม้วิตามินนี้จะปลอดภัย แต่ก็ควรสอบถามแพทย์ทุกครั้งก่อนที่จะให้รับประทานวิตามิน หรือหากคุณจะกำลังตั้งครรภ์/มีแพลนการตั้งภรรภ์ หรือให้นมบุตรอยู่ ควรได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องจากแพทย์อีกครั้ง เพราะคุณยังสามารถเกิดอาการแพ้ต่อส่วนผสมในอาหารเสริมทุกชนิดได้ ไม่เว้นแม้แต่ในไบโอติน นอกจากการรับประทานอาหาร หรืออาหารเสริมที่มีส่วนผสมของไบโอตินแล้ว ต้องอย่าลืมดูแลสุขภาพของตัวเราเองด้วยการออกกำลังกาย และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ควบคู่ไปด้วย เพื่อการทำงานที่ดีของร่างกายทุกๆส่วน All Pictures Credit: Pinterest