"ยา" เป็นสิ่งที่ทำให้เราหายจากอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ มีสรรพคุณในการบรรเทาหรือรักษาให้หายได้เลย แต่การจะนำยามาใช้นั้นต้องได้รับการพิจารณาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์เฉพาะทางเพื่อความปลอดภัยในการใช้ยาหากถามว่า ซื้อยากินเองได้ไหม?? ในการเจ็บป่วยบางอย่างอาจจะได้ หรือยาใช้ภายนอกเพื่อบรรเทาอาการต่าง ๆ เช่น เวลามีไข้เรามักรับประทานยาพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาอาการปวดและลดไข้ เมื่อมีอาการฟกช้ำ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ก็ซื้อยามาทาเพื่อบรรเทาอาการ แต่การซื้อยาเองนั้นควรซื้อจากร้านยาที่มีเภสัชกรที่ให้คำแนะนำได้จะเป็นการดีมากค่ะ การเจ็บป่วยภายในที่เราไม่ทราบสาเหตุแต่เป็นเพียงการคาดเดาของตนเองว่าเราอาจจะเป็นโรคนั้นโรคนี้ เจ็บป่วยในอวัยวะภายในส่วนนั้นส่วนนี้ แล้วไปซื้อยามารับประทานเอง การคิดเองเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง นอกจากจะไม่ได้รักษาโดยถูกจุดแล้วอาจทำให้อาการนั้นเรื้อรังและเกิดความอันตรายในการรับประทานยาผิด ๆ อีกด้วยค่ะ ผู้เขียนเคยป่วยเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือภาษาชาวบ้านมักเรียกว่า อาการขัดเบา อาการเริ่มแรกที่เป็นคือฉี่ไม่สุด และปวดฉี่ตลอดเวลาแต่ไม่สามารถฉี่ออกได้ และเมื่อฉี่ออกก็จะมีอาการเจ็บแสบที่ทวารเบา และมีอาการปวดหน่วงบริเวณท้องน้อยอันดับแรกผู้เขียนไปพบหมอประจำบริษัทหมอได้ให้ยาฆ่าเชื้อมากินจำนวน 4 เม็ด โดยให้รับประทานทันที 1 เม็ด เย็น 1 เม็ด ก่อนนอน 1 เม็ด และเช้าอีก 1 เม็ด ซึ่งหมอได้บอกว่าหากยาหมดแล้วไม่หายให้ไปพบแพทย์ทันที เมื่อยาหมดอาการก็ยังไม่ดีขึ้นแต่!! ผู้เขียนไม่ได้ไปพบแพทย์ตามคำสั่งของหมอที่บริษัท (เพราะเป็นคนที่ไม่ชอบการไปหาหมอ) ผู้เขียนได้ไปที่ร้านยาแห่งหนึ่ง โดยบอกกับผู้ขายว่าขอซื้อยาแก้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ทางร้านได้จัดยาแคปซูลมาให้ 1 แผง (5 เม็ด) กินยาเช้า กลางวัน เย็น จนยาหมดอาการก็ยังไม่ดีขึ้น แต่ !! ผู้เขียนก็ยังไม่ไปพบแพทย์อยู่ดีต่อมาผู้เขียนได้ไปร้านยาอีกแห่งหนึ่งและเล่าอาการให้ฟัง จึงได้ยาชุดมากิน 8 ชุด กินได้ 2 วัน อาการก็ยังไม่ดีขึ้น พร้อมทั้งเหมือนอาการจะหนักขึ้นกว่าเดิมคือเริ่มปวดกระดูกสันหลัง เริ่มปวดท้องซีกซ้าย ปวดหน่วงท้องน้อยมากขึ้น ฉี่เริ่มมีสีขุ่นขาวและมีไข้ด้วย ผู้เขียนวิตกหนักมากจากคำพูดของหลาย ๆ คนว่า อาการเหมือนโรคไตบ้าง เป็นกรวยไตอักเสบบ้าง เป็นโรคนั้นบ้าง เป็นโรคนี้บ้าง ทำให้ผู้เขียนเกิดความเครียดและตัดสินใจไปหาหมอได้ในที่สุดผู้เขียนได้ไปพบแพทย์เฉพาะทางที่คลินิคแห่งหนึ่ง (เป็นหมอระบบทางเดินปัสสาวะโดยตรง) คุณหมอได้ถามอาการผู้เขียนจึงเล่าให้คุณหมอฟังทั้งหมดว่าทานยาอะไรมาบ้าง เป็นมากี่วัน ซื้อยาที่ไหน พร้อมทั้งให้หมอดูรูปยาที่ถ่ายเก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือ สิ่งแรกที่หมอทำคือมองหน้าและพูดว่า "สัญญากับหมอได้ไหมว่าจะไม่ซื้อยากินเองอีก รู้ไหมมันอันตรายและตอนนี้หนูก็ได้รับผลนั้นแล้ว" ผู้เขียนตกใจและถามกลับไปว่า "หนูเป็นอะไรคะ" คุณหมอเลยพูดต่อว่า "จากการที่หมอฟังและวินิจฉัยโรคแล้วนั้นตอนนี้หนูมีอาการดื้อยาขั้นรุนแรง ในเบื้องต้นเป็นเพียงอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบเท่านั้น แต่ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและไม่ได้รับยารักษาที่ถูกวิธี อาการเลยหนักขนาดนี้ ยาแต่ละชนิดที่ซื้อมากินไม่ครบตามมิลลิกรัมของตัวยาที่กำหนดไว้ เพราะยาปฏิชีวินะต้องทานต่อเนื่องจนครบตามแพทย์สั่งแม้ว่าอาการจะหายแล้วก็ตาม แต่คนไข้ทานยาไม่ครบตามขนาดจึงส่งผลให้มีอาการดื้อยา แต่ไม่ต้องคิดมากไม่เป็นโรคไต หรืออะไรก็แล้วแต่ที่คิดไปเองอย่างแน่นอน" และคุณหมอก็ได้จัดยามาให้ 2 ส่วนคือ ส่วนแรกต้องกินล้างสารของยาเก่าให้หมดก่อนประมาณ 1 สัปดาห์ และยาส่วนต่อมาคือรักษาอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบทานต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ (เมื่อกลับมาบ้านทานได้ 3 วันอาการดีขึ้นเริ่มหายแต่หมอสั่งว่าให้กินจนหมดไม่เช่นนั้นอาการดื้อยาก็จะกลับมาเช่นเดิม) โดยในการรักษานี้เสียค่ารักษาและค่ายาไปหลายพันบาทเลยทีเดียว และใช้เวลาในการรักษากว่าจะหายดีเป็นเดือนนี่ก็เป็นประสบการณ์จากผู้เขียนที่อยากแชร์ให้เพื่อน ๆ ได้ทราบถึงโทษภัยของการซื้อยาทานเอง โดยผลเสียโดยตรงเลยคือ ผลเสียต่อร่างกาย และส่งผลมายังสุขภาพจิตเพราะไม่สามารถทราบอาการเจ็บป่วยที่แท้จริงจนทำให้เกิดสภาวะเครียดได้ รวมทั้งหมดค่ารักษาที่แพงโดยใช่เหตุด้วยค่ะ ฝากถึงเพื่อน ๆ นะคะว่า หากเจ็บป่วยสิ่งที่ดีที่สุดที่ควรจะทำคือ "พาร่างกายไปพบแพทย์โดยเร็วค่ะ" ภาพหน้าปกโดย Unsplashภาพประกอบบทความ : ภาพที่ 1 โดย Unsplash / ภาพที่ 2 โดย Unsplash / ภาพที่ 3 โดย Unsplash / ภาพที่ 4 โดย Unsplash / ภาพที่ 5 โดย Unsplash