ทำไมคุณถึงไปบริจาคเลือด !! เป็นคำถามที่เราโดนถามบ่อย ๆ หลังจากที่เราไปบริจาคเลือด ทั้งที่เราก็ไม่ได้เป็นคนที่มีสุขภาพที่แข็งแรงอะไรมากมายนัก มีน้ำหนักตัวแค่ 56 กิโลกรัม ซึ่งน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับความสูง 174 เซนติเมตร อีกทั้งยังเป็นผู้ที่มีภาวะของโรคเลือดจางอยู่นิด ๆ อีกด้วย เพราะพ่อแม่ของเราทั้งคู่ท่านก็มีภาวะโรคเลือดจางอยู่ แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อการที่เราอยากจะไปบริจากเลือดมากนัก ดังนั้น มันจึงเกิดคำถามขึ้นกับหลาย ๆ คนที่รู้ว่าเรามีภาวะของโรคเลือดจางและยังไปบริจากเลือด... ครั้งแรกที่เราได้บริจากเลือดนั้น เกิดขึ้นสมัยเมื่อเราเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งในตอนนั้นทางสภากาชาดได้ออกรับบริจาคเลือดตามสถานศึกษาต่าง ๆ ในเขตจังหวัด ซึ่งในการบริจากเลือดตอนนั้นก็ไม่ได้มาจากความสมัครใจเต็มร้อย หากมาจากการถูกบังคับนิด ๆ จากคุณครูที่ปรึกษา ทว่าก็ไม่ได้นับว่าเป็นครั้งแรกซะทีเดียว เพราะไม่ได้บริจาคด้วยความเต็มใจ อีกทั้งยังทำบัตรประจำตัวผู้บริจาคเลือดในครั้งนั้นหายอีกด้วย... หลังจากการบริจาคเลือดครั้งนั้น เราก็ไม่ได้มีความคิดที่จะไปบริจาคเลือดอีก ไม่ใช่เพราะว่าเรากลัวเข็มฉีดยาหรือว่าการบริจาคเลือดครั้งนั้นมันไม่น่าประทับใจอะไรหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าเราไม่มีเวลาที่จะไปบริจาคเลือด รวมไปถึงการใช้ชีวิตในช่วงนั้นก็ไม่เอื้อต่อการบริจาคเลือกมากนัก เช่น มีการสูบบุหรี่ ดื่มเหล้าและนอนดึกทุกวัน เป็นต้น ทำให้มีผลต่อการที่ไม่คิดจะไปบริจาคเลือด เพราะการที่จะไปบริจาคเลือดได้นั้น จะมีข้อปฏิบัติก่อนการบริจาคเลือด 8 ข้อ ดังนี้ นอนหลับให้เพียงพอ มีสุขภาพพร้อมสมบูรณ์ดีทุกประการ ไม่อยู่ระหว่างทานยารักษาโรคบางอย่าง ควรรับประทานอาหารก่อนการบริจาคเลือด งดอาหารไขมันสูง และหวานจัด ดื่มน้ำ 3-4 แก้ว ในช่วงเวลา 20-30 นาที ก่อนการบริจาคเลือด งดสูบบุหรี่ก่อนการบริจาคเลือด 1 ชั่วโมง งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง งดการบริจาคเลือด เมื่อเป็นหวัด ท้องเสีย น้ำหนักลดหรือเจ็บป่วย ( ที่มา : ข้อปฏิบัติก่อนการบริจาคโลหิตครั้งต่อไป ภาคบริจาคโลหิตแห่งชาติที่ 10 จังหวัดเชียงใหม่ ) ผ่านมานับ 10 ปี เราจึงได้มีโอกาสบริจาคเลือดอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกอย่างจริง ๆ จัง ๆ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 เป็นวันที่เราเลือกที่จะไปบริจาคเลือด อาจเป็นเพราะว่าเราเชื่อว่าการได้ไปบริจาคเลือดในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการทำความดีแล้ว อาจจะช่วยให้เราผ่านการสอบที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า นอกจากเข็มกลัดสำหรับผู้บริจากเลือดครั้งแรก บัตรประจำตัวผู้รับบริจาค ใบนัดกำหนดการบริจาคครั้งต่อไปและยาบำรุงเลือด 2 ถุงที่เราได้รับมาแล้ว อีกอย่างหนึ่งที่เราได้รับจากการไปบริจาคเลือดในครั้งแรกนี้ก็คือความภูมิใจ มันอาจจะหมายความถึงความสุขที่ได้รับจากการที่เราได้เป็นผู้ให้ ถึงแม้เราจะไม่รู้ว่าคนที่รับนั้นจะเป็นใครก็ตาม... ทำไมถึงได้รับยาบำรุงเลือด 2 ถุง (100 เม็ด) การบริจาคครั้งต่อไป คืออีก 90 วันหรืออีก 3 เดือนข้างหน้า ทีนี้มาเล่าถึงสาเหตุที่ทำไมเราจึงได้ยาบำรุงเลือดมา 2 ถุง ก็เพราะว่าความเข้มข้นของเลือดของเรามีค่าสูงกว่าเกณฑ์เพียงเล็กน้อย ซึ่งเกณฑ์ค่าความเข้นข้นเลือดของผู้ชายปกติจะอยู่ที่ 13.0 แต่เรามีค่าความเข้นข้นของเลือดอยู่ที่ 13.32 ดังนั้น คุณหมอจึงให้ยาบำรุงเลือดเรามา 2 ถุง ซึ่งมากกว่าคนปกติ 1 ถุง จากเหตุการณ์นี้ ทำให้การใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสุขภาพให้ดีมากขึ้น การเลือกกินอาหารที่มีผลต่อการเพิ่มความเข้นข้นของเลือด การงดดื่มเหล้าและเลิกสูบบุหรี่ รวมทั้งการปรับเปลี่ยนช่วงเวลาในการนอนพักผ่อนให้เพียงพอมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการดูแลสุขภาพเพื่อที่จะให้มีร่างกายที่แข็งแรงมากขึ้นกว่าเดิม และเพื่อที่เราจะได้ไปบริจาคเลือดตามจำนวนที่เราคาดเอาไว้ คือว่าเราอยากจะบริจาคเลือดให้ได้จำนวนครั้งเกิน 80 ครั้งหรือไม่ก็อาจจะบริจาคไปเรื่อยๆจนกว่าทางสภากาชาดจะตรวจเจอสิ่งที่ผิดปกติในเลือดของเราและไม่รับเลือดที่เราบริจาคแล้ว คำถามคือ...ทำไมถึงอยากที่จะบริจาคเลือดให้ได้จำนวนครั้งมาก ๆ ขนาดนั้นล่ะ ? ก็เพราะว่า การที่เราไปบริจาคเลือดนั้น นอกจากจะเป็นการแบ่งปันชีวิต แบ่งปันลมหายใจให้แก่เพื่อนมนุษย์ร่วมโลกด้วยกันแล้ว ยังถือเป็นการทำบุญอีกทางหนึ่ง เป็นการสร้างความสุขโดยที่เราทำได้ง่ายๆและไม่เสียอะไรเลย อีกทั้งยังเป็นการเปลี่ยนถ่ายเลือดที่จะช่วยทำให้ร่างกายของเราแข็งแรงมากขึ้นอีกด้วย... ทุก ๆ ครั้งที่ไปบริจาคเลือด จะเกิดความรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งในเวลาที่คุณหมอเจาะเลือดบริเวณปลายนิ้วกลาง เพื่อตรวจหาความเข้มข้นเลือดของเรา เพราะว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่ความเข้นข้นเลือดของเรามีค่าต่ำกว่า 13.0 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์และครั้งนั้นก็ทำให้ไม่ได้นับจำนวนครั้งในการบริจาคเลือด แต่คุณหมอกลับให้ยาบำรุงเลือดมากิน 1 ถุง เพื่อที่จะให้ความเข้นข้นเลือดของเราเพิ่มมากขึ้นและผ่านเกณฑ์ และให้กลับมาบริจาคได้อีกใน 1 เดือนข้างหน้า ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้เราต้องพยายามที่จะดูแลสุขภาพของตนเองให้ดีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม - ข้อความบางส่วนในบันทึกของฉัน - - วันที่ 30 กรกฎาคม 2562 บริจาคครั้งที่ 8 - ได้รับเกียรติบัตรและเข็มกลัดกลม หลังจากบริจาคครบ 7 ครั้ง - ลุ้นทุก ๆ รอบ...ว่าความเข้มข้นของเลือดจะผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ (13.0) หรือไม่ ซึ่งรอบนี้มีความเข้มข้นของเลือดอยู่ที่ 13.2 (ผ่านแบบเฉียดฉิว) ซึ่งคุณหมอก็ให้ยาบำรุงเลือดมาจำนวน 2 ถุง คือ 100 เม็ด เพื่อบำรุงเลือดให้มีความเข้มข้นมากกว่านี้ - *** ครั้งต่อไป ครั้งที่ 9 วันที่ 30 ตุลาคม 2562 ช่วงเวลาที่เราได้บริจาคเลือด - ผ่านมา 8 ครั้งแล้ว ซึ่งก็ยังไม่ได้ถึงเสี้ยวของจำนวนครั้งการบริจาคเลือดที่ตั้งใจเอาไว้เลย แต่ก็ถือว่าเป็นการทำความดีที่ทำได้ง่าย ๆ ไม่ได้สูญเปล่า มันกลับทำให้เราเห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้น ดูแลสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น คิดในแง่ดีก็ถือว่าเป็นการไปตรวจโรคประจำตัวแบบฟรี ๆ ทุก ๆ 3 เดือนไปในตัวอีกด้วย อาจจะไม่เห็นว่าได้อะไรจากการไปบริจาคเลือด ไม่เห็นจะได้อะไรสักอย่างเลย นอกจากเข็มกลัดและใบประกาศเท่านั้น แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราได้รับจากการไปบริจาคเลือดในทุก ๆ ครั้ง ความภูมิใจในความเป็นมนุษย์ที่มีความเป็นผู้มีใจสูงคือสูงกว่าสัตวโลกทั่ว ๆ ไปต่างหากที่เราได้รับ... และนั่นอาจจะเป็นความหมายและคุณค่าของการมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง