ในปัจจุบันที่สภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมืองเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง ทำให้หลายคนเกิดความกดดันสะสม จนก่อให้เกิดความเครียดขึ้นได้ในที่สุด สำหรับบางคนก็หาทางระบายความเครียดได้อย่างถูกวิธี จนผ่อนคลายขึ้นมาได้ แต่ด้วยความที่เราแต่ละคน เติบโตมาด้วยสภาพแวดล้อม ประสบการณ์ชีวิต รวมถึงนิสัยส่วนตัวที่แตกต่างกัน การรับมือกับความเครียดจึงแตกต่างกันออกไป ภาพจาก pixabay.com ปัญหาสุขภาพจิตในประเทศไทย เริ่มถูกใส่ใจเป็นวงกว้างมากขึ้น ทั้งจากหน่วยงานของรัฐ เอกชน รวมถึงบุคคลทั่วไป การพบจิตแพทย์จึงเป็นเรื่องที่ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น สังเกตได้จากโรงพยาบาลใกล้บ้านของพวกเรา ที่มีจิตแพทย์ประจำอยู่อย่างสม่ำเสมอ แม้ค่านิยมของคนไทยบางส่วนจะยังมองว่าการเข้าพบจิตแพทย์เป็นเรื่องที่น่ากลัวแบบในหนังหรือละคร แต่ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่ปัญหาเรื่องของสุขภาพจิตถูกยกขึ้นมาพูดถึงมากขึ้น เมื่อปัญหาการฆ่าตัวตาย เริ่มมีความถี่มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ย่อมมีสาเหตุมาจากปัญหาเรื่องสุขภาพจิตที่ไม่ได้รับการรักษาจากแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ ในความเป็นจริงและจากประสบการณ์โดยตรงของผู้เขียนเองที่ต้องเข้าพบจิตแพทย์ตามนัดอยู่เป็นประจำ เนื่องจากมีอาการป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 จึงอยากนำขั้นตอนวิธีการต่าง ๆ ตั้งแต่การเตรียมตัวเข้าพบจิตแพทย์ ไปจนถึงขั้นตอนของการรักษามาบอกเล่าเพื่อเป็นวิทยาทานให้กับผู้อ่านทุก ๆ ท่านค่ะ เตรียมตัวอย่างไรในการเข้าพบจิตแพทย์ ภาพจาก pixabay.com 1. เตรียมเอกสารต่าง ๆ ให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็น บัตรประจำตัวประชาชน เอกสารการส่งตัวหากถูกส่งมาจากโรงพยาบาลอื่น รวมไปถึงเอกสารเกี่ยวกับประกันสังคมหรือประกันภัยอื่น ๆ ภาพจาก pixabay.com 2. เตรียมค่ารักษาพยาบาลให้พร้อม หากมีสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือที่เรารู้จักในชื่อสิทธิ 30 บาทรักษาทุกโรคในเขตที่เข้ารับการรักษา ก็สามารถเตรียมไปเพียง 30 บาทได้เลยค่ะ ส่วนเพื่อน ๆ คนไหนที่ประสงค์จะเข้ารับการรักษาตามโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชนที่ตนไม่มีสิทธิ 30 บาท ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง ก็ควรตรวจสอบอัตราค่ารักษาพยาบาลจากทางโรงพยาบาลก่อนไปใช้บริการ จะได้ไม่มีปัญหาในภายหลังนะคะ 3. เตรียมสุขภาพกาย พักผ่อน นอนหลับ รับประทานอาหารให้อิ่ม เนื่องจากบางโรงพยาบาลมีคนไข้จำนวนมาก ซึ่งอาจจะต้องรอคิวในการเข้ารับการรักษาเป็นเวลานาน ภาพจาก pixabay.com 4. เตรียมสุขภาพใจ เริ่มจากเรียบเรียงเรื่องราวที่อยากจะเล่าให้จิตแพทย์ฟังให้ครบถ้วน หากกังวลว่าจะจดจำรายละเอียดได้ไม่หมด ก็สามารถจดบันทึกไว้ในสมุดหรือโน๊ตไว้ในโทรศัพท์มือถือได้ค่ะ ส่วนเรื่องความตื่นเต้นและวิตกกังวลที่เกิดขึ้นจากการที่จะต้องพบจิตแพทย์เป็นครั้งแรก ก็น่าจะเกิดขึ้นได้กับทุกคนเลย เพียงแต่เราจะต้องทำจิตใจให้สบายและผ่อนคลายให้ได้มากที่สุด เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเข้าพบจิตแพทย์จริง ๆ จะได้สามารถบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วน ราบรื่น ซึ่งจะมีผลต่อการรับการรักษานั่นเองค่ะ ภาพจาก pixabay.com 5. โทรศัพท์ไปสอบถามตารางการลงตรวจของจิตแพทย์กับโรงพยาบาลที่ประสงค์จะเข้ารับการรักษา ข้อนี้สำคัญมากนะคะ แม้แทบทุกโรงพยาบาลจะมีจิตแพทย์ประจำอยู่ก็จริง แต่จิตแพทย์แบ่งออกได้หลายประเภท เช่น จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น จิตแพทย์ผู้ใหญ่ บางแห่งก็มีจิตแพทย์ที่เน้นให้การรักษาผู้สูงวัยโดยตรง ดังนั้น จึงควรโทรศัพท์ไปสอบถามก่อนว่าจิตแพทย์ที่เราจะเข้าพบมีตารางการตรวจในวันเวลาใดบ้าง อย่างผู้เขียนที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าก็ได้เข้าพบกับจิตแพทย์ที่ดูแลผู้ใหญ่นั่นเองค่ะ ภาพจาก pixabay.com 6. เผื่อเวลาในการเดินทาง ปัญหาเรื่องการจราจรไม่เข้าใครออกใครจริง ๆ ค่ะ ดังนั้น ในวันที่จะเดินทางไปพบจิตแพทย์ ควรตรวจสอบเส้นทางโดยรอบก่อนว่าจะมีอุปสรรคใด ในการที่จะทำให้การเดินทางช้าลงไปหรือไม่ ตัวอย่างขั้นตอนการเข้าพบจิตแพทย์ของผู้เขียน ภาพจาก pixabay.com 1. ยื่นบัตรที่ช่องทำบัตรคนไข้ ตรงนี้อาจจะมีความแตกต่างของแต่ละโรงพยาบาลนะคะ แต่ขั้นตอนโดยทั่วไป ก็คือไปยื่นบัตรที่ช่องทำบัตรคนไข้ จากนั้น ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดรอบเอว วัดความดัน (นั่งพักสัก 20 นาทีค่อยวัดความดันนะคะ บางครั้งการเดินขึ้นบันไดมาเหนื่อย ๆ มีผลให้ค่าความดันสูงกว่าปกติได้ค่ะ) ไว้รอยื่นกับเจ้าหน้าที่และรอรับบัตรคิวได้เลยค่ะ 2. รอพยาบาลเรียกซักประวัติ จากข้อ 1. นั่งรอสักพักแล้วพยาบาลจะเรียกชื่อให้เข้าไปซักประวัติเบื้องต้นค่ะ สิ่งที่พยาบาลจะสอบถาม ยกตัวอย่างเช่น อารมณ์เป็นอย่างไร มีความรู้สึกไม่ดีกับตัวเองอย่างไรบ้าง เคยทำร้ายตัวเองหรือไม่ มีประวัติการเสพสารเสพติดมาก่อนหรือไม่ รวมทั้งให้ทำแบบสอบถามจากกรมสุขภาพจิตเพื่อตรวจสอบสุขภาพจิตในเบื้องต้น และมีคำถามพื้นฐานอื่น ๆ อย่างเช่น ประจำเดือนมาล่าสุดวันไหน ปกติดื่มเหล้าสูบบุหรี่หรือไม่ เป็นต้นค่ะ 3. ก่อนเข้าพบจิตแพทย์ โดยส่วนมากจะได้คุยกับนักสังคมสงเคราะห์หรือนักจิตวิทยาก่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่นั้น ๆ จะสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวของเรา เช่น มีพี่น้องกี่คน พ่อแม่เลี้ยงดูมาตั้งแต่กำเนิดหรือไม่ อาชีพของคนในครอบครัว สถานภาพการสมรส ซึ่งการที่ต้องถามคำถามในลักษณะนี้ เนื่องจากต้องการทราบว่าเรามีปัญหาด้านครอบครัวหรือการเงินและอื่น ๆ ด้วยหรือไม่ หากเรามีปัญหา เช่น การว่างงาน ทางนักสังคมสงเคราะห์จะได้บอกลู่ทางในการหางานเบื้องต้นหรือทางที่เราจะได้รับเงินชดเชยจากการว่างงานนั่นเองค่ะ ภาพจาก pixabay.com 4. ถึงเวลาเข้าพบจิตแพทย์ คุณหมอจะสอบถามอาการเหมือนที่เราเคยเข้ารับการรักษาโรคทางกายอื่น ๆ เลยล่ะค่ะ ซึ่งจิตแพทย์แต่ละคนก็อาจใช้คำถามกับผู้ป่วยแต่ละเคสแตกต่างกันออกไป จากประสบการณ์ของผู้เขียนนั้น คุณหมอได้ให้เล่าเรื่องที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ใจ ท้อแท้ สิ้นหวัง ซึมเศร้าที่เกิดขึ้นให้ฟัง สอบถามไปเรื่อย ๆ ถึงอาการ ณ ปัจจุบันว่ามีอารมณ์ความรู้สึกอย่างไร ก็ให้บอกคุณหมอได้ตามตรงเลยนะคะ ไม่ต้องกังวลใจว่าคุณหมอจะเปิดเผยข้อมูลนี้ที่ไหน เนื่องจากเป็นข้อมูลของคนไข้ที่ต้องเก็บเป็นความลับอยู่แล้วและคุณหมอจะเข้าใจความเปราะบางทางอารมณ์ของผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ไม่ต้องกังวลว่าคุณหมอจะตัดสินความถูกผิดในความคิดการกระทำต่าง ๆ ของเราเลยล่ะค่ะ ส่วนหากมีอาการทางกายอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น หูแว่ว มีภาพหลอน ใจสั่น ลิ้นแข็ง ประวัติการแพ้ยา ก็ให้แจ้งคุณหมอให้ทราบด้วยนะคะ เมื่อเสร็จขั้นตอนของการพูดคุย คุณหมอจะแจ้งให้ทราบว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไร เช่น ต้องรับประทานยาตัวใด ต้องมาพบคุณหมอตามนัดเมื่อไหร่ ก็ให้ปฏิบัติตามที่คุณหมอบอกอย่างเคร่งครัด เพื่อความต่อเนื่องในการรักษานั่นเองค่ะ ภาพจาก pixabay.com หากหลังจากนี้ เพื่อน ๆ มียาที่ต้องรับประทาน ซึ่งหากรับประทานแล้ว มีอาการผิดปกติอย่างรุนแรง ก็ให้ไปพบแพทย์ก่อนกำหนดและแจ้งอาการดังกล่าวได้เลยค่ะ การเข้าพบจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายและน่ากลัวอีกต่อไปแล้วนะคะ ปัญหาทางใจก็เหมือนกับปัญหาทางกาย ถ้าหากเราไม่สามารถแก้ได้ด้วยตัวเองหรือเรียกง่าย ๆ ว่าป่วยใจ ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะต้องเข้ารับการรักษากับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่านนะคะ ภาพปกจาก pixabay.com