วิธีสร้างความมั่นคงทางอารมณ์ในเด็ก (บทความสุขภาพจิต) ภาพจาก : Victoria- Borodinova / pixaba น้องเอเป็นเด็กที่มีอารมณ์แปรปรวน เขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น คุณครูมีความห่วงใยจึงปรึกษาผู้เขียนเข้ามาและเล่าให้ฟังว่า “เมื่อมีอะไรมากระทบจิตใจเขานิดหน่อยก็จะเศร้ามาก บางครั้งถึงกับร้องไห้ และเมื่อมีสิ่งใดถูกใจก็จะดีใจอย่างสุดโต่ง แต่ปัญหาทางอารมณ์ที่ครูพบบ่อยคืออารมณ์ด้านลบ นั่นคือเมื่อมีสิ่งใดมาขัดใจหรือทำสิ่งใดไม่ได้ดั่งใจ น้องเอจะโกรธฉุนเฉียวและลงท้ายด้วยเศร้ามาก จนบางครั้งถึงกับทำร้ายตัวเองด้วยการกรีดข้อมือ” และเมื่อคุณครูประสานงานผู้ปกครองไปครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อจะขอความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน ผู้ปกครองกลับไม่ใส่ใจใดๆเลย ผู้เขียนจึงได้แนะนำวิธีช่วยเหลือเด็กแก่คุณครูไป พร้อมทั้งบอกไปว่า “ผู้ที่ไม่ร่วมมือในการแก้ไขปัญหานั่นแหละมักจะเป็นต้นตอของปัญหาที่ทำให้เด็กเติบโตมาเป็นเด็กที่ขาดความมั้นคงทางอารมณ์” ความมั่นคงทางอารมณ์คือสภาพของจิตใจที่สุขุม มีสติ มีสมาธิ ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งแวดล้อมที่เข้ามากระทบจิตใจ ทั้งทางดีและทางร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีความทนทานต่ออารมณ์ด้านลบเช่นโกรธ เครียด วิตกกังวล เหงา เศร้าร้าวรานใจ เป็นต้น เด็กที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างถูกต้องเหมาะสมจะเติบโตมาเป็นคนที่มีความมั่นคงทางอารมณ์นั่นเอง ในทางจิตเวชศาสตร์มักพบว่าเด็กที่ถูกทารุณกรรมโดยถูกพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูข่มเหงหรือข่มขู่ว่าจะไม่รัก หรือถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวหรือเฆี่ยนตี หรือกระทำชำเราอื่นใดทั้งร่างกายวาจาใจ จะทำให้เด็กเกิดความชอกช้ำใจ(psychic trauma)และประทับจำไว้ตลอดชีวิต ส่งผลให้มีปัญหาสุขภาพจิตด้านต่างๆเช่นเครียด ซึมเศร้า วิตกกังวล โกรธง่าย ไม่ไว้วางใจใคร บุคลิกภาพแปรปรวนไปจนถึงขั้นทำร้ายตัวเอง ภาพจาก : Maraims-Fotos / pixabay วิธีการเลี้ยงดูเด็กให้เขามีความมั่นคงทางอารมณ์นั้น จะต้องทำให้เด็กเกิดความรู้สึกทั้งสามอย่างไปพร้อมๆกันดังต่อไปนี้ 1)รู้สึกว่าเป็นที่รัก 2)รู้สึกว่าไว้วางใจ และ3)รู้สึกว่าปลอดภัย โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1)รู้สึกว่าเป็นที่รัก การเติบโตมาด้วยความรู้สึกว่าเป็นบุคคลอันเป็นที่รักนี้ เป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่มากของเด็กและเยาวชน เพราะจะช่วยหล่อหลอมความรู้สึกที่ดีงามแก่เด็กจนเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีความมั้นคงทางอารมณ์ การเลี้ยงดูเด็กและเยาวชนให้เขารู้สึกว่าเป็นที่รักนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองต้องหมั่นบอกรักแก่เขาสม่ำเสมอ โอบกอด ชื่นชม ให้กำลังใจ ดูแลเอาใจส่อย่างใกล้ชิด สนับสนุนให้เขาเกิดความภาคภูมิใจในชีวิตด้านต่างๆอย่างต่อเนื่อง 2)รู้สึกว่าไว้วางใจ สืบเนื่องจากข้อหนึ่ง หากปฏิบัติให้เด็กรู้สึกได้ว่าเป็นที่รักแล้ว พึงเพิ่มวิธีเลี้ยงดูด้วยความมีเมตตา มีวินัย ไร้การลงโทษที่รุนแรงแต่ให้ใช้การจูงใจด้านบวกแทนเช่นการชื่นชมและให้รางวัล และหากมีพันธสัญญาใดๆกับเด็กพึงปฏิบัติให้ชัดเจนและสม่ำเสมอ เช่น พ่อแม่ไปรับไปส่งไปโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ สัญญาว่าหากสอบได้เกรดสามขึ้นไปจะให้รางวัล เมื่อเขาทำได้ก็ต้องให้รางวัล เป็นต้น การทำเช่นนี้จะช่วยส่งเสริมให้เด็กเกิดความรู้สึกไว้วางใจได้ ส่งผลให้เกิดความมั่นคงทางอารมณ์นั่นเอง 3)รู้สึกว่าปลอดภัย สืบเนื่องจากข้อหนึ่งและข้อสอง หากเด็กได้รับการเลี้ยงดูจนเขารู้สึกว่าเป็นที่รักและเป็นที่ไว้วางใจได้แล้ว พึงปฏิบัติและสื่อสารต่อเด็กด้วยความสุภาพอ่อนโยน ไม่ทอดทิ้งให้เด็กอ้างว้างโดดเดี่ยว ไม่บูลลี่ ไม่ตีตรา ไม่ข่มเหงและไม่ใช้ความรุนแรงหรือทารุณกรรมต่อเด็กทั้งทางกิริยาและวาจา กระทั่งปกป้องคุ้มครองเขาจากภยันตรายต่างๆ จะช่วยพัฒนาให้เด็กรู้สึกว่ามีความปลอดภัยในชีวิต ซึ่งเป็นปัจจัยความต้องการขั้นพื้นฐานอย่างหนึ่งของมนุษย์นั่งเอง ภาพจาก : Bassi / pixabay อนึ่งการที่ผู้เขียนมุ่งอธิบายความที่ละข้อ ก็เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจอย่างชัดเจนและเห็นถึงความเชื่อมโยงของหลักการทั้งสามอย่างนั่นเอง แต่ในทางปฏิบัติแล้วพ่อแม่ผู้ปกครองพึงต้องปฏิบัติทั้งสามข้อไปอย่างพร้อมๆกัน หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด เลี้ยงดูบุตรหลานให้เติบโตมาเป็นคนที่ได้รับความรู้สึกว่าเป็นบุคคลอันเป็นที่รัก รู้สึกไว้วางใจได้และรู้สึกปลอดภัย จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทางอารมณ์ที่มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์หรือมีความฉลาดทางอารมณ์(eq)และความฉลาดทางสังคม(sq)ได้เป็นอย่างดี จะไม่ทำให้เด็กมีปัญหาทางอารมณ์และสร้างปัญหาให้คุณครูต้องมารับภาระช่วยเหลือเฉกเช่นชีวิตของน้องเอที่กล่าวมาแต่ต้นนั่นเองภาพปก:TerriAnneAllen / pixabay รศ.ดร.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์ นักวิชาการสื่อสารสุขภาพจิตและศาสนาปรัชญานักเขียนสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,มติชน,อมรินทร์ธรรมะ,ซีเอ็ด,ดีเอ็มจีและวิชบุ๊คประธานสถาบันพัฒนาบุคลากรwuttipong academy,ไอดีไลน์ ac6555 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !