สะเดาผักขม ที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์หลายอย่างต่อร่างกาย คงเป็นที่รู้จักและคุ้นเคยกันดี ที่เรารู้จักกันดีคือนำมาทานคู่กับน้ำปลาหวาน โดยจะนำเอาส่วนยอดอ่อนและดอกมาทาน เชื่อว่าหลายๆคนไม่กล้าทานเพราะรสชาติขมนี้แหละ ก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละสายพันธุ์ในพื้นที่ ที่ปลูกหรือขึ้นเองจะขมมาก ขมน้อย นั้นเองตามชนบทแล้วต้นสะเดามักจะเกิดเองในป่า เมื่อถึงเวลาออกดอกช่วงเดือนธันวาคม - มีนาคม ก็จะมีคนนำมาขายตามตลาดแต่ยอดอ่อนจะได้ทานกันประมาณเดือนมีนาคม - เมษายน ซึ่งในพื้นที่ชนบทยังคงมีต้นสะเดาให้เห็นอยู่เป็นจำนวนมากต้นสะเดาเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงตั้งแต่ 20 - 25 เมตร ลำต้นจะตั้งตรงเปลือกต้นตำตาลเทาค่อนข้างจะหนา เปลือกลำต้นจะแตกเป็นเหมือนสะเก็ดผิวข้างในจะเรียบเงา เป็นไม้ที่เนื้อหนาและหยาบ ใบจะมีลักษณะมีสีเขียวเข้มมันวาวเหมือนกับขนนก ขอบใบจะหยัก ดอกจะออกเป็นช่อกลมบ้างรีบ้าง มีสีขาวหรือสีเทา ดอกจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ผลกับเมล็ดจะกลมรีเหมือนพวงองุ่น เมื่อสุกจะมีสีเหลืองเขียวผิวเรียบหรือแตกลาย คล้ายกับผลองุ่นรสชาติหวาน การเพาะปลูกมีสองวิธี คือ ขุดเอารากของต้นแม่มาชำเพื่อเพาะปลูกต่อไปหรือใช้การเพาะโดยเมล็ด แต่ผู้เขียนแนะนำการชำจะได้ผลเร็วกว่านะคะ โดยนำต้นนี่ทำการชำไว้แช่น้ำประมาณ 1 เดือน รอให้ประมาณ 4 - 5 เดือน ให้ต้นโตสักประมาณ 20 40 เซนติเมตร แตกกิ่ง ก้าน ใบ ออกมาพอสมควร ก็สามารถนำไปปลูกในพื้นที่ที่ต้องการได้แล้วคะ แนะนำให้ปลูกช่วงที่ฝนตกไม่หนักนะคะ ช่วงแรกมั่นรดน้ำเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 - 2 ครั้ง เช้า-เย็น แต่พยายามอย่างให้น้ำเยอะจนแฉะเกินไปนะคะ สะเดาชอบแสงแดดควรปลูกกลางแจ้งและมีพื้นที่เยอะนะคะ เมื่อต้นโตแล้วจะเป็นพุ่มขนาดใหญ่เลย นอกจากเราจะนำยอดและดอกมากินกับเมนูต่างๆแล้ว ยังสามารถนำสะเดามาสกัดเพื่อใช้ในการควบคุมศัตรูได้อีกด้วย ทำไม้ฟืนและใช้เนื้อไม้ทำเฟอร์นิเจอร์ต่างๆได้อีกด้วย รวมไปถึงอุปกรณ์สร้างบ้านต่างๆ เพราะมีความแข็งแรงทนทานมากพอสมควร เนื้อไม้สะเดาเมื่อขัดชักเงาแล้วมีสีสวยด้วยรับประทานยังไง? ให้นำดอกหรือยอดอ่อน ลวกในน้ำเดือดหรือต้มให้สุกหรือรับประทานแบบสดรับประทานกับอะไรได้บ้าง? มักนำมาทานเป็นผักกับเมนูอาหารต่างๆ เช่น น้ำปลาหวาน น้ำพริกปลาย่าง แกงขนุนอ่อน ต้มขม ต้มสุก ลาบเลือดขม แกงอ่อน ปลาดุกย่าง เป็นต้นไม่อยากให้ขมมากต้องทำอย่างไร? 1.ให้สังเกตดูสีของใบ ใครที่ชอบเก็บสะเดากินเองตามต้นยังไม่รู้ว่าแบบไหนขมมาก ขมน้อยให้ดูที่ใบและยอดเป็นหลัก หากใบและปลายยอดมีสีแดงปนแสดงว่า สะเดาคงมีรสชาติขมมากแน่ๆ ดังนั้นเราก็สามารถหลีกเลี่ยงใบสีแบบนี้ได้ เพื่อที่จะได้สะเดาที่ขมไม่มากและมีรสชาติออกมัน ไม่ขม 2.ให้นำสะเดาไปแช่ในน้ำที่หุงข้าวสุกแล้วหรือจะเทน้ำจากข้าวสุกร้อนๆนี้ให้ท่วมสะเดาในภาชนะ ทิ้งไว้สักพักเพื่อให้น้ำเย็นแล้วค่อยนำสะเดามารับประทาน วิธีนี้จะช่วยให้สะเดาไม่ขมมาก มันอร่อยและสีของใบก็มันวาวเพิ่มขึ้น 3.ให้นำสะเดาห่อด้วยใบตองหรือใบข่าเพื่อนำไปย่างให้น้ำมันสะเดาไหลออกจากดอกและยอดอ่อน วิธีนี้จะช่วยให้สะเดาไม่ขม ทานง่าย หอมกลิ่นเตาถ่านอ่อน สามารถใช้ส่วนไหนเพื่อเป็นสรรพคุณทางสมุนไพรได้บ้าง? ยอดอ่อน ก้าน ผล เมล็ด ใบ ยาง เปลือก รากวิธีการเลือกซื้อสะเดาตามท้องตลาด? สังเกตง่ายๆที่ใบ หากสะเดามีรสชาติขมสีของใบจะปลายใบจะออกสีแดงหรือส้ม ส่วนสะเดามันรสชาติขมน้อยนั้น ใบจะเป็นสีเขียวอ่อนมันวาว ดอกจะเยอะกว่าสะเดาขมคุณค่าทางโภชนาการยอดสะเดา 100 กรัมให้พลังงาน 76 กิโลแคลอรี โปรตีน 5.4 กรัม คาร์โบไฮเดรต 12.5 กรัม น้ำ 77.9 กรัม ใยอาหาร 2.2 กรัม ไขมัน 0.5 กรัม แคลเซียม 354 มิลลิกรัม เหล็ก 4.6 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 26 มิลลิกรัม เบต้าแคโรทีน 3,611 ไมโครกรัม วิตามินบี1 0.06 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.07 มิลลิกรัม วิตามินซี 194 มิลลิกรัมประโยชน์ของสะเดา บำรุงร่างกาย แก้ไข้ ช่วยย่อยอาหาร แก้ฝี แก้โรคผิวหนัง แก้กระหายน้ำ ฆ่าพยาธิ แก้ท้องร่วง บำรุงโลหิต แก้ปัสสาวะขัด แก้บิด แก้ท้องเดิน ช่วยระบาย บำรุงน้ำดี แก้คันคอ แก้เสมหะ บำรุงหัวใจ ปรับน้ำเหลืองให้สมดุล เลือดกำเดาไหล บำรุงช่องปาก บำรุงผิวพรรณ บำรุงเส้นผม แก้อาเจียน สะเดายังสามารถใช้เพื่อเป็นสรรพคุณบรรเทาอาการป่วยต่างๆ ผู้เขียนขอเล่าถึงประสบการณ์การใช้สะเดาเพื่อบรรเทาอาการป่วยเบื้องต้นที่เคยใช้มาก่อนและได้ผลพอสมควร จึงอยากจะมาเล่าให้ฟังกันคะ เมื่อมีอาการไข้ ปวดหัว รับประทานยอดอ่อนและดอกกับเมนูอาหารปกติ ทานประมาณ 10 ก้านเล็ก อาการไข้ ปวดหัวก็จะค่อยๆดีขึ้นเองวันนึงก็หายดีแล้วคะหรือต้มก้าน ดอก ใบที่ตากแห้งแล้ว ต้มให้เดือดสัก 20 นาที ดื่มขณะที่อุ่นวันละ 1 แล้ว ติดต่อกัน 3 วัน อาการก็จะดีขึ้นเอง ถ้ามีอาการไอร่วมด้วยแนะนำเป็นวิธีต้มจะดีกว่านะคะแต่ต้องผสมรากลงไปด้วยจะเห็นผลได้ดีกว่า แก้ขับเสมหะให้นำรากสะเดา 1 กำมือต้มในน้ำให้เดือด แล้วนำมาดื่มก่อนอาหารครั้งละ 1 แก้ว ก็จะช่วยขับเสมหะที่เหนียวข้นออกมาช่วยทำให้สบายคอมากขึ้น รังแคเยอะ คันหนังหัว ก็ให้นำใบสะเดามาต้มแล้วนำมาล้างหนังหัว ช่วยลดอาการคันหนัง รังแคไม่ขึ้นเยอะแล้วก็ค่อยๆหา ถ้าใครนอนไม่ค่อยหลับ หลับไม่ค่อยสนิท แนะนำให้นำใบและก้านสะเดามาต้มดื่มนะคะ ดื่มได้วันละ 4 แก้ว จะช่วยทำให้หลับง่าย ผ่อนคลาย วิธีการดื่มน้ำจากสะเดาอาจจะทำให้เพื่อนขมคอ ดื่มยาก ทานยากหน่อยนะคะ ถ้าเป็นวิธีการดื่มแนะนำให้จิบน้ำเปล่าทีหลัง หรืออมน้ำน้ำเปล่าเพื่อบ้วนปากนะคะ ผู้เขียนเองก็ว่าดื่มยากเหมือนกันเพราะไม่ค่อยชอบรสขม แต่ลองทำที่บอกเพื่อนๆได้ผลก็เลยอยากจะมาเล่าให้ฟังเผื่อเพื่อนๆจะนำไปใช้นะคะข้อควรระวังการรับประทานสะเดาผู้ป่วยโรคความดันต่ำไม่ควรทาน เพราะยิ่งทานจะยิ่งทำให้ความดันต่ำลงผู้ป่วยโรคไตไม่ควรทาน เพราะในสะเดามีสารโพแทสเซียมสูงไม่ดีต่อผู้ป่วยโรคไตผู้ป่วยกรดไหลย้อนไม่ควรทาน เพราะจะทำให้ไปกระตุ้นการสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมากขึ้น ุควรทานในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะถ้าทายเยอะอาจทำให้เกิดลมในกระเพาะ ท้องอืดได้สตรีหลังคลอดบุตรไม่ควรทาน เพราะจะทำให้ไม่มีน้ำนม น้ำนมแห้งการทานสะเดากับเมนูอาหารก็ช่วยเป็นยาได้นะคะ สำหรับใครชื่นชอบการทานผักรสขมอย่างสะเดาก็แนะนำ แต่ก็ต้องทานในปริมาณที่พอเหมาะด้วยนะคะ สะเดาถือว่าเป็นผักพื้นเมืองชนิดหนึ่งที่ปัจจุบัน บางพื้นที่ก็ไม่นิยมปลูกกันแล้ว จึงถือว่าหาทานยากสำหรับและมีราคาสูง อีกทั้งยังส่งขายในต่างประเทศเพื่อนำไปสกัดเป็นยาจึงทำให้หายากและขาดตลาด เพราะมีประโยชน์มากมายและเป็นที่ยอมรับของนักวิจัยจึงเป็นที่สนใจของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ในพื้นที่ที่ผู้เขียนอาศัยยังมีต้นสะเดาให้เห็นอยู่และในตลาดยังมีขายราคาไม่แพงเท่าไหร่ กำละ 10 บาทเอง และหาทานได้ง่าย ช่วงเดือนธันวาคม ไปจนถึงเมษายนก็ยังมีให้ทานอยู่ตลอด สุดท้ายนี้เพื่อนๆก็อย่างลืมทานผัก ผลไม้ให้หลากหลาย ทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ มั่นออกกำลังกายประจำอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนๆอย่างสูงสุด ภาพปก ออกแบบจากcanvaโดยผู้เขียนบทความและภาพประกอบบทความทั้งหมดโดยผู้เขียน อยากผอมหุ่นดี อยากมีซิกแพค หาอินสปายลดน้ำหนัก เข้าร่วมด่วนที่ฟิตแอนด์เฟิร์มคอมมูนิตี้