C วิตามินแห่งชีวิต วิตามินคือสิ่งที่ช่วยเสริมการปรับสมดุลของร่างกาย นอกเหนือจากอาหารตามโภชนาการหลักแล้ว จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่ง เพราะเมือเราใช้ชีวิตในแต่ละวัน ที่ต้องทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน การจราจรที่แออัดทำให้หมดเวลาไปกับการเดินทาง ทำให้ไม่มีเวลาคอยปรับเปลี่ยนหรือควบคุมสมดุลของอาหาร และเน้นรับประทานอาหารสำเร็จหรืออาหารจานด่วนมากยิ่งขึ้น จึงทำให้ห่างไกลกับสมดุลไปเรื่อยๆ และทำให้เกิดความต่างจากสิ่งหนึ่งที่มีมาก และสิ่งหนึ่งที่ถูกละเลยเอาใจใส่น้อย และการได้รับสารพิษในอากาศที่มีทั้งความเป็นกรดเป็นด่างต่างๆ พอสะสมมากๆ ก็จะถึงจุดจุดหนึ่งที่ทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติขึ้นมาจนทำให้เกิดการป่วย ทำให้เสียเวลาในการใช้ชีวิตและการทำงานหารายได้ และยังบั่นทอนสุขภาพใจอีกต่างหาก โดยการป่วยเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่นการป่วยจากการรับสารพิษ หรือการป่วยจากเชื้อไวรัส เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะมาพูดถึงการเสริมวิตามินซี เพื่อสุขภาพที่อยู่ภายในกัน และจะทำให้เราได้ใช้ชีวิตเป็นปกติในทุกวันเครดิตภาพโดย freedesignfile.com แต่ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจหลักการสำคัญก่อนคือ ตามปกติร่างกายของเราจะเกิดปฏิกิริยากับออกซิเจนตามปกติอยู่แล้ว จากการหายใจรับอากาศที่มีอนุภาคขนาดเล็กธาตุไมโครต่าง ๆ ที่มีการปนเปื้อนของเคมีเข้าไป แม้กระทั่งน้ำที่เราดื่มตามธรรมชาติ หรือที่เกิดการได้รับพลังงานและเกิดการแลกเปลี่ยนอิเล็กตรอนจากแสง UV และมีการเสื่อมไปตามวัยตามปกติ แต่หากปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นมีมากเกินไป เกินความจำเป็นที่ร่างกายต้องการหรือร่างกายไม่สามารถทนทานได้มากเพียงพอ ร่างกายก็จะเสื่อมเร็วและจุดที่มีการเกิดมากจะทำให้เป็นจุดอ่อนต่อการรับเชื้อโรค หรือการทำงานของเซลล์ที่ผิดปกติได้ ดังนั้นการได้รับตัวต้านการเกิดปฏิกิริยาที่เกิดโดยออกซิเจน (ปฏิกิริยาออกซิเดชัน) จากวิตามินซีที่เพียงพอก็จะทำให้ร่างกายเราทนทานต่อการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ทำให้ผนังเซลล์ของเราแข็งแรงเพียงพอ เป็นที่มาของการมีภูมิคุ้มกันที่ดี เพราะร่างกายของเรามีการผลิตเม็ดเลือดขาว เอาไว้สำหรับทำลายเชื้อไวรัสอยู่แล้ว ขอเพียงทำให้การรับเชื้อเข้ามาได้น้อยหรือทนต่อเชื้อโรคได้นานขึ้น ร่างกายก็จะมีเวลามากพอเพื่อไปกำจัดเชื้อโรคให้หมดไปนั่นเอง โดยวิตามินซีเองเป็นตัวต้านการเกิดออกซเดชัน หรือที่เราเรียกกันว่าสาร"แอนตี้ออกซิแดนท์" ตามธรรมชาติเครดิตภาพโดย LoongAyแล้วร่างกายต้องการเท่าไหร่ล่ะ? ขนาดที่ร่างกายควรได้รับวิตามินซีต่อวัน ของแต่ละช่วงวัยจะแบ่งออกตามในตารางในด้านล่างนี้ ช่วงอายุ ขนาดแนะนำที่ร่างกายต้องการ วัยแรกเกิดถึง 6 เดือน ----------------> 40 มิลลิกรัม ทารกวัย 7-12 เดือน -----------------> 50 มิลลิกรัม เด็กวัย 1-3 ปี -----------------> 15 มิลลิกรัม เด็กวัย 4-8 ปี -----------------> 25 มิลลิกรัม เด็กวัย 9-13 ปี -----------------> 45 มิลลิกรัม วัยรุ่นชาย (14-18 ปี) -----------------> 75 มิลลิกรัม วัยรุ่นหญิง (14-18 ปี) -----------------> 65 มิลลิกรัม ผู้ชาย (วัยกลางคน) -----------------> 90 มิลลิกรัม ผู้หญิง (วัยกลางคน) -----------------> 75 มิลลิกรัม ช่วงตั้งครรภ์ (วัยรุ่น) -----------------> 80 มิลลิกรัม ช่วงตั้งครรภ์ (วัยกลางคน)----------------> 85 มิลลิกรัม ช่วงการให้นมบุตร (วัยรุ่น)-----------------> 115 มิลลิกรัม ช่วงการให้นมบุตร (วัยกลางคน) ---------> 120 มิลลิกรัม***สำหรับผู้ที่สูบบุหรี่ ให้เพิ่มอีก 35 มิลลิกรัมต่อวัน ในตารางปริมาณวิตามินซีที่ร่างกายควรได้รับ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อวันสำหรับแต่ล่ะช่วงวัยขอบคุณที่มาจากสถาบันวิจัยสุขภาพ NIH เว็ปไซต์อ้างอิง https://ods.od.nih.gov/factsheets/VitaminC-Consumer/แต่ในกรณีนี้ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามขนาดของตัวเราได้ ดังนั้น จึงควรแยกออกเป็นสองประเภทอาการคือเครดิตภาพโดย LoongAy อาการขาดวิตามินซี มีจุดแดงหรือจุดช้ำเล็ก ๆ ตามผิวหนัง กรณีที่ร่างกายได้รับวิตามินซีต่ำกว่า 10 มิลลิกรัมต่อวัน จะเกิดอาการร่างกายอ่อนเพลีย อาการเลือดออกที่เหงือก ปวดตามนิ้วและข้อนิ้ว รู้สึกถึงความแข็งแรงของเล็บลดลงหรือเล็บมีจุดเลือดออก อาการผมร่วง เป็นต้นเครดิตภาพโดย LoongAy เมื่อไหร่ที่เรียกว่ามากเกินไป เมื่อปริมาณสะสมวิตามินซีในร่างกายมีมากเกินไป จะทำให้เกิดคลื่นไส้และปวดท้องแสบท้อง และอาการที่มักจะพบคู่กันคืออาการท้องเสียท้องร่วง และในคนที่มีภาวะที่เรียกว่าฮีโมโกรมาโตซิสคืออาการที่ร่างกายมีการสะสมธาตุเหล็กมากเกินไป เนื่องจากปริมาณวิตามินซีสะสมในปริมาณสูง อาจทำให้เกิดการสะสมธาตุเหล็กมากเกินและทำให้เนื้อเยื่อของร่างกายเสียหาย และด้วยการที่ปฏิกิริยาออกซิเดชันเป็นส่วนหนึ่งของการเกิดมะเร็ง เพราะฉะนั้นการได้รับวิตามินซีซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ตามธรรมชาติ ก็จะสามารถยับยั้งเหตุของการเกิดมะเร็งได้ และมีข้อสรุปออกเผยแพร่ผลการทดลองตามวาระสารทางการแพทย์ทั่วไปภาพปกโดยผู้เขียน นามปากกา LoongAy