สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ ขาช้อปทุกคน ช่วงเซลล์ท้ายปีแบบนี้ แต่ละร้านก็แข่งกันออกโปรโมชั่นมายั่วยวนใจ หั่นราคา50%บ้าง 90%บ้าง ไม่ว่าหันไปทางไหนก็รู้สึกว่า ของมันต้องมี! แต่ถ้าซื้อของตามอำเภอใจทุกอย่าง เราก็คงไม่วายล้มละลาย กลายเป็นสาวสวยที่ต้องลำบากตอนแก่ใช่ไหมคะ อีกอย่างเคยไหม แปลกแต่จริงนะ ยิ่งมีเสื้อผ้ารองเท้ากระเป๋าเยอะเท่าไร กลับยิ่งทำให้ตัดสินใจเลือกสวมใส่ยากขึ้น เกิดอาการ “เสื้อผ้าเต็มตู้ แต่ไม่มีอะไรจะใส่!” เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ เราเลยมีเคล็ดลับมาแบ่งปันกับทุกคน เป็นสิ่งที่เราสังเกตจากสไตล์ลิสต์ต่าง ๆ และเริ่มตกผลึกได้หลังจากอายุชักใกล้สามสิบแล้ว รวมถึงมีโอกาสต้องย้ายไปอยู่คอนโด ซึ่งขนาดตู้เสื้อผ้าไม่ใหญ่เท่าที่บ้าน หลังจากทำมาเรื่อย ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองช้อปปิ้งอย่างมีเหตุผลขึ้น เก็บเงินได้มากในระยะยาว แถมยังแต่งตัวดีขึ้นอีกด้วยค่ะ ขอบพระคุณภาพจาก pixabay.com โดย Stocksnap เคล็ดลับที่ 1 เลือกสีประจำตัวของเรา โทนสีเสื้อผ้า เป็นสิ่งที่ตัดสินได้ชัดเจนที่สุดว่าการแต่งกายของเราจะง่ายหรือยาก คนเราไม่ได้เกิดมาเหมาะกับสีทุกสีนะคะ คนผิวอมชมพู ใส่โทนฟ้า เงิน ม่วง พาสเทลสวยเป็นพิเศษ ในขณะคนผิวอมเหลือง ใส่สีส้ม ทอง น้ำตาล ดูมีเสน่ห์เปล่งปลั่ง ร้านเสื้อผ้าเครื่องสำอางมีของหลากสีสันเป็นร้อย ๆ เปลี่ยนแปลงตามซีซั่น แต่เราไม่จำเป็นต้องไปวิ่งตาม ยึดตัวเราเป็นหลัก พอลองแล้วว่า สีอะไรที่ดูดีดูสวย ใส่แล้วมั่นใจสำหรับเรา ทีนี้เราจะสร้าง “พาเล็ตต์” ประจำตัวกัน ให้เพื่อน ๆ เลือกที่ชอบมา 2 สีหลัก แล้วจับคู่กับสีสุภาพพื้นฐานสี 1 สี ได้แก่ ดำ ขาว น้ำตาล เลือกสีใดสีหนึ่ง (ใช้สีสุภาพเป็นสีหลักก็ได้นะคะ จะยิ่งแต่งตัวง่าย) ยกตัวอย่าง ตัวเราชอบสีหวาน ๆ และมีผิวเหลือง เราเลยเลือกสีหลัก 2 สี คือ สีโอลโรส กับ สีน้ำตาล จับคู่กับสีสุภาพพื้นฐาน เราเลือกสีขาว สรุปแล้ว พาเล็ตต์ 3 สีของเราจึงเป็น โอลโรส น้ำตาล ขาว พอมีพาเล็ตต์แล้ว ก็เดินหน้าคุมโทนชีวิตค่ะ เสื้อผ้าใด ๆ ถ้าอยากจะซื้อ ให้ซื้อที่เข้ากับสีสามสีนี้เท่านั้น หลากหลายแค่ตรงเนื้อผ้า ลวดลาย และรูปแบบที่เหมาะกับกาลเทศะต่าง ๆ เราก็เอาเลย ช้อปของสีโอลโรสแก่ ชมพูกะปิ ส้มอ่อน น้ำตาลแดง คาราเมล ครีม (เลิกซื้อสีเขียว สีฟ้า สีม่วง สีแปลก ๆ อื่น ๆ ที่ไม่เข้าพวกไปได้เลย) ดังนั้นเท่ากับว่า เวลาจัดใส่ตู้เสื้อผ้าแล้ว ไม่ว่าเราหยิบตัวไหนขึ้นมา มันก็แต่งเข้ากันได้หมดนั่นเอง! หากอยากประหยัดกว่านั้น ก็ให้ตั้งกฎว่า สีสุภาพพื้นฐาน คือสีที่ใช้เลือกซื้อกระเป๋า เข็มขัด รองเท้า เช่นของเราเป็นสีขาว การซื้อกระเป๋าสะพายสีขาวย่อมใช้ได้หลายโอกาสกว่าซื้อกระเป๋าสีชมพูโอลโรสจริงไหมคะ ดังนั้นก็มีแค่ใบเดียวนี่แหละ เลือกที่ดีไซน์เรียบหน่อย ก็จะถือได้ทุกที่ ไม่จำเป็นต้องซื้อหลายใบ ลดเวลาย้ายข้าวของจากกระเป๋านี้ไปกระเป๋านู้นให้เมื่อย ถามว่าแล้วถ้าเกิดเบื่อ อยากจะเพิ่มอะไรเป็นสีนอกพาเล็ตต์บ้างล่ะ ก็ซื้อเพิ่มเป็นเครื่องประดับเสริมเช่น อาจจะมีผ้าพันคอกับเข็มขัดสีน้ำเงิน หมวกกับเสื้อคาร์ดิแกนสีแดง เป็นต้น ใส่ผสมเข้ามาบ้างให้ดูสะดุดตา (ใครมีสตางค์เยอะ จะอยากเพิ่มสีหลักเป็น 3 สี + สีสุภาพ 2 สี ก็ไม่ว่ากัน) การทำพาเล็ตต์ นอกจากช่วยให้ตู้เสื้อผ้าขนาดเล็กลง(เพราะไม่ต้องมีสิ่งที่เข้ากับทุก ๆ สี) และเลือกเสื้อผ้าแต่งตัวเร็วแล้ว ยังเป็น “ซิกเนเจอร์” ที่ทำให้ใคร ๆ จดจำเราได้ ลองนึกถึงบุคคลสำคัญ หรือตัวการ์ตูนญี่ปุ่น ที่แต่งกายเป็นเอกลักษณ์อยู่เสมอ ใคร ๆ ก็ไม่ลืม เป็นประโยชน์กับสร้างแบรนด์ตัวเราเองมากเลยนะคะ ขอบพระคุณภาพจาก pixabay.com โดย Stocksnap เคล็ดลับที่ 2 ของเรียบ ๆ ดีที่สุด ฟังดูน่าเบื่อ แต่สัจธรรมของการแต่งตัวก็คือ Simple is best ไม่ใช่แค่เพราะเครื่องแต่งกายที่เรียบง่ายนั้นไม่เคยตกเทรนด์ ใส่นานหลายปีก็ไม่เชย ทั้งยังสง่างามแบบ “ดูไม่พยายาม” แต่เป็นเพราะเวลาซื้อสินค้าแฟชั่น ของเรียบ ๆ มักจะคุณภาพทนทานกว่าด้วยล่ะ ไม่เชื่อจะอธิบายให้ฟัง ลองเดินเข้าร้านกระเป๋าตามห้างสักแบรนด์หนึ่ง สังเกตดูอย่างละเอียดเราจะรู้ว่า ทางแบรนด์มีกระเป๋าหลายรุ่นที่ทำจากวัสดุแตกต่างกัน และ “การที่แบรนด์ขายสินค้านี้ในระดับราคาเท่านี้ได้ เขาได้แลกอะไรบางอย่างแล้ว” ขอบพระคุณภาพจาก https://pixabay.com/ โดย Stocksnap ปกติกระเป๋าหนังแท้เป็นของดีที่สุด ทนทานชั่วลูกชั่วหลาน และยืดหยุ่นคืนรูปได้ทำให้ใส่ของแล้วไม่เสียทรง จึงราคาแพงที่สุดในร้าน แต่...แพงขนาดนี้มนุษย์เงินเดือนจะซื้ออย่างไรไหว จริงไหมคะ ดังนั้น แบรนด์จะยอมแลกเรื่องราคา กับวัสดุที่ลดเกรดลง โดยทำกระเป๋าหนังเทียม หรือหนัง PU ซึ่งทำจากพลาสติกสังเคราะห์ นี่เป็นตัวอย่างการแลกเปลี่ยนด้านวัสดุล้วน ๆ มองในระดับกระเป๋าหนัง PU ด้วยกันเอง เราจะเห็นว่ามันมีการแลกเปลี่ยนด้านดีไซน์ตกแต่งด้วย! ถ้ากระเป๋าทุกใบในร้านราคาพอ ๆ กันหมดนะคะ พวกกระเป๋าที่สีสันสดใส ใช้สีย้อมแปลก ๆ หายาก มีฉลุ หรือมีลวดลายปักสวยงาม แบรนด์เขาต้องลงทุนตรงนั้น แปลว่า เขาเลือกลดคุณสมบัติด้านอื่นเป็นการลดต้นทุนแทน เช่น กระเป๋าอาจจะไม่มีหมุดรอง 4 จุดข้างใต้ หรือไม่มีหุ้มมุมกระเป๋า เวลาเราวางกระเป๋ากับโต๊ะเก้าอี้หรือพื้น มันก็เปื้อนง่าย กระเป๋าไม่เย็บซับข้างในติดกับตัวกระเป๋า เวลาหาของที ก็ดึงผ้าซับข้างในกลับออกมาด้วย หรือ กระเป๋าอาจจะไม่มีข้อต่อที่หมุนได้ตรงขั้วสายสะพาย เวลาเราสะพายแล้วสายบิดพลิกกลับด้าน เราต้องมาเสียเวลาพลิกเอง แทนที่สายจะพลิกอัตโนมัติตามเรา เป็นต้น ยากมากเลยนะที่จะเจอกระเป๋าปักมุกติดดอกไม้พราว แล้วยังมีคุณสมบัติของกระเป๋าที่ดีครบถ้วน ตัวหนัง PU ถ้าทำให้สัมผัสนิ่มมือคล้ายกับหนังแท้ ก็มักจะลอกล่อนง่าย ยืดง่าย เป็นการแลกเปลี่ยน แต่ถ้าแข็ง ๆ เหลี่ยม ๆ ไม่แลกอะไร ก็จะอยู่สภาพเดิมได้นาน (แต่ควรหาผ้ามาพันรอบหูจับและสายสะพายหน่อย เพราะอาจจะแข็งจนเจ็บ) เราเองนี่ได้บทเรียนเยอะเลยค่ะ กับกระเป๋า Charles & Keith ซื้อไว้หลายใบ ใบไหนนุ่มนิ่มน่ารัก หรือมีด้ายเย็บเป็นลายตาราง ผ่านไป 1 ปี ก็ลอกคราบร่วงเป็นผง ๆ หมดแล้วค่ะ ฮ่า ๆ แต่ใบที่สีพื้นเนื้อแข็ง มีหมุดตอกตรึงแน่นตามมุมและส่วนพับต่าง ๆ ของกระเป๋า ยังสวยเหมือนวันแรกที่ถือเป๊ะ ขอบพระคุณภาพจาก https://pixabay.com/ โดย Markus Spiske นี่ก็เป็นเหตุผลที่ส่วนใหญ่แล้ว สินค้าแฟชั่นที่คุณภาพทนทานหน่อยตามร้าน มักจะเป็นของชิ้นที่ดูเรียบ ๆ และสีน่าเบื่อ ๆ ค่ะ โดยเฉพาะถ้าเป็นเสื้อผ้า ยิ่งมีการเย็บตัดต่อ ปักลูกปัด ทำรอยขาดรุ่ยตรงนั้นตรงนี้เก๋ไก๋ ก็ยากที่จะสภาพดีอยู่ได้นาน เพราะผ้านั้นเนื้อบางและเป็นขุยง่ายยิ่งกว่ากระเป๋าหนังเสียอีก ส่วนถ้าเป็นรองเท้า ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะการเย็บประดับอะไรต่อมิอะไรลงไปบนหนัง ก็คือการเจาะรูร้อยด้ายบนตัวรองเท้า ทุกย่างก้าวที่เราเดิน เท้าเราก็จะดึงหนังให้ยืดขยับไปตามการเคลื่อนไหว แต่เส้นด้ายและของประดับนั้นคงที่ รูร้อยนั้นมันก็ถูกดึงฉีกไปซ้ายทีขวาทีเรื่อย ๆ โอ๊ย ถ้ารองเท้าพูดได้คงร้องว่า แหกจ้าแหก! เรียกว่าทั้งโดนลดคุณภาพ ทั้งเดินไม่สบาย แต่ครั้นจะเลือกรองเท้าที่ทากาวของประดับแปะไว้เฉย ๆ ก็กาวหลุดง่าย ไม่เลิศสักทาง สรุปแล้ว การช้อปของที่ดีไซน์เรียบ ๆ นี่แหละค่ะ โดยรวมกลับมีข้อดีคุ้มค่ามากกว่าของสวย ๆ เพราะแบรนด์แฟชั่นเขามีเหตุผลเสมอที่ตั้งราคาแบบนั้น ทั้งนี้ ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องหย่าขาดกับเสื้อผ้าเครื่องประดับกิ๊บเก๋นะทุกคน คือยังคงซื้อได้ แต่ตระหนักรู้ด้วยว่ามันเป็นของระยะสั้น ใส่เล่นสนุก ๆ ดังนั้นถ้าอยากได้ก็อย่าเลือกที่ราคาแพงจนเกินไป(เพราะอย่างไรมันก็แหก) หันมาลงทุนกับของเรียบ ๆ คุณภาพดีใช้ได้นานดีกว่านะคะ เคล็ดลับที่ 3 ซื้อของดี ไม่ซื้อของถูก อ้าว ไหนว่าจะประหยัด ไม่ซื้อของถูกแล้วจะประหยัดอย่างไร? คือเราอยากให้เพื่อน ๆ ลองนึกภาพ ระหว่างร้านกระเป๋าในห้างสรรพสินค้า กับร้านเอาท์เล็ต (outlet หมายถึง สินค้าที่ปล่อยขายในราคาถูก เนื่องจากเป็นของค้างสต๊อก หรือมีตำหนิ ไม่ผ่านการตรวจคุณภาพ) อะไรน่าซื้อมากกว่ากัน แน่นอนร้านเอาท์เล็ตที่มีป้ายเซลล์สีแดงตัวโตตลอดเวลา ของวางกองกันอยู่ในกระบะให้เราไปคุ้ยหาเพชรในตมย่อมดึงดูดใจ เพราะเรารู้สึกว่าเราได้ของดีโดยจ่ายในราคาต่ำกว่าความจริง แต่สังเกตไหมคะว่า ซื้อของเอาท์เล็ตทีไร มันใช้ได้ไม่ดีเหมือนของขึ้นห้าง นั่นไม่ใช่อุปาทาน แต่เป็นเพราะนอกจากสินค้าเอาท์เล็ตอาจเป็นสินค้าตกรุ่น มีตำหนิ ที่ผลิตไว้เมื่อนานแสนนานจนเปื่อยแล้ว แบรนด์ส่วนใหญ่ยังจงใจผลิตของคุณภาพต่ำเพื่อขายเอาท์เล็ตโดยเฉพาะด้วย อ่านไม่ผิดค่ะ แบรนด์ดังของโลกอย่าง Gucci, Michael Kors, Coach, Nike ฯลฯ ไม่ได้ผลิตแต่ของดีนะคะ พวกเขาสั่งผลิตสินค้าที่เรียกว่า Made-for-Outlet โดยติดตราแบรนด์ลงไปเหมือนกัน เพียงแต่เนื้อผ้า หนัง ชิ้นส่วนโลหะ เกรดต่ำกว่าของในร้านจริง เพื่อส่งเข้าร้านเอาท์เล็ตอย่างเดียว ใช้ ๆ ไปก็กระดุมขาด หูกระเป๋าหลุด ห่วงเข็มขัดขึ้นสนิมเลอะเทอะ ต้องซื้อใหม่อีกแล้ว อย่างนี้จะเรียกว่า “ถูก” จริง ๆ หรือ? ขอบพระคุณภาพจาก https://pixabay.com/ โดย Pexel ของที่ช้อปแล้วคุ้มค่าอย่างแท้จริง ในระยะยาวก็คือของที่คุณภาพดีทนทาน ใช้การได้นานหลายปี สินค้าแฟชั่นในตลาดแบ่งเป็นหลายเกรดอยู่แล้ว เราคิดว่า อดทนเก็บเงินสักหน่อย เพื่อไปซื้อของที่คุณภาพได้มาตรฐาน อย่างไรก็คุ้มกว่าเสียเงินน้อย ๆ บ่อย ๆ น่ารำคาญไม่จบไม่สิ้น และถ้าจะให้เลือก "ของดี" กว่านั้น สิ่งที่บรรดาเศรษฐีทำกัน ก็คือเลือกซื้อของที่ “ไม่ค่อยเสื่อมมูลค่า” คือเมื่อเราใช้จนเบื่อแล้ว ขายไป ยังได้เงินกลับมาสักครึ่งหนึ่งก็ยังดี (หรือแม้แต่ได้กำไร) แน่นอนว่า เราไม่สามารถทำแบบนี้กับของทุกอย่าง แต่ถ้าเราเป็นคนมีเงินเก็บ ไม่ซื้อของสะเปะสะปะ ทางเลือกประหยัดของเราจะมากขึ้นตาม อะไรที่ทำได้ก็ลองทำดู เช่นสมมติ ซื้อสร้อยคอที่จตุจักร 199 บาท มันอาจจะถูก แต่ไม่มีทางที่เราจะได้เงิน 199 บาทนี้กลับมาอีกแน่นอน เพราะใส่ไม่ถึงสามเดือนก็คงลอกหมดสวยแล้ว จะไปขายใครที่ไหนได้ (และใครจะต้องการสร้อยมือสองที่เดิมราคาแค่ 199 บาท มูลค่ามันต่ำเกินไป เขาซื้อใหม่เองดีกว่า) แต่ถ้าเราเก็บเงินเดือนอีกหน่อย ซื้อสร้อยสวารอฟสกี้ที่คิงพาวเวอร์ 2,000 กว่าบาท นอกจากพังหรือลอกเมื่อไรก็นำไปให้ร้านซ่อมได้ทุกสาขาแล้ว มีโอกาสที่เราจะสามารถขายต่อสวารอฟสกี้ได้ราคา 50-60% ของราคาเดิม ไม่ได้โยนทิ้งไปเลย 100% แบบสร้อย 199 ค่ะ ในบรรดาสินค้าแฟชั่นทั้งปวง สิ่งที่คงมูลค่ามากที่สุด คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากกระเป๋าถือ ขอกระซิบบอกว่า บางทีผ่านไป 1 ปี ราคามันขึ้นเป็นหมื่นเลยนะทุกคน! เรียกว่าถือใช้เล่นฟรี ๆ ไม่ว่า ยังได้สตางค์เพิ่มมาอีกต่างหาก ส่วนใหญ่จะเป็นกระเป๋ารุ่นคลาสสิค ที่ดูดีตลอดกาลไม่ฉาบฉวย ยกตัวอย่างแบรนด์ที่สาว ๆ รู้จักกันดีเช่น Chanel รุ่น Boy Classic (มูลค่าเพิ่มมาจากปีที่แล้ว 14,049 บาท) รุ่น Classic Medium Handbag (เพิ่มมาจากปีที่แล้ว 16,391 บาท) รุ่น Gabrielle Small Hobo Bag (เพิ่มมาจากปีที่แล้ว 13,659 บาท) เป็นต้น อธิบายแบบนี้น่าจะพอเข้าใจกันเนอะ ว่าทำไมการซื้อ "ของดี" แทนของถูกเป็นหลัก บางครั้งจึงคุ้มแสนคุ้ม ขอบพระคุณภาพจาก https://pixabay.com/ โดย Nastya_Gepp ส่วนตัวเราเองเห็นว่า การช้อปปิ้งเครื่องแต่งกายที่คุณภาพดี ได้ใช้สอยอย่างสมประโยชน์ ไม่ต้องหงุดหงิดกับเนื้อผ้าคัน ๆ ซิปที่รูดแล้วติด หรือเข็ดขัดที่ล็อคเอวไม่อยู่ แค่นี้ก็เป็นความสุขและการสร้างเสริมบุคลิกภาพที่สุดยอดแล้ว เพราะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ขัดใจทุกวัน มันก็บั่นทอนสุขภาพจิตนะคะ การซื้อของดีคือการซื้อ "เวลา" ที่เราไม่ต้องมานั่งคิดกังวล เอาไปคิดสร้างสรรค์อย่างอื่นดีกว่า การเก็บเงินซื้อสินค้าคุณภาพที่ราคาแพงขึ้นมาหน่อย ก็ทำให้เราได้ฝึกวินัย วางแผนการเงินดีขึ้น เป็นคนถนอมของมากขึ้น และช้อปปิ้งน้อยครั้งลง เลิกล่าของถูกซื้อเล็กซื้อน้อย ดังนั้น ตู้เสื้อผ้าของเราก็ขนาดเล็กลงและหายรกไปด้วย แต่เต็มไปด้วยของดี ๆ ที่หยิบใส่เมื่อไรก็มั่นใจ ภูมิใจ ใส่สบายทั้งวัน ความรู้สึกนั้นแหละที่จะแผ่ออกมา ทำให้เราเป็นผู้หญิงที่ดูดีอยู่เสมอค่ะ อย่าลืมนะคะ ถือเคล็ดไว้ "คุมโทน ซื้อเฉพาะสีในพาเล็ตต์ประจำตัว" "เน้นคุณภาพ ของเรียบ ๆ ดีที่สุด" และ "ซื้อของดี อย่าเห็นแก่ของถูก" เราหวังว่าเพื่อน ๆ อ่านแล้ว จะสามารถปรับนิสัยการช้อปปิ้ง ให้ประหยัด แต่งตัวง่าย ตู้เสื้อผ้าไม่รก ได้ตามชื่อบทความของเรากันทุกคนค่ะ