อยู่เพื่อดูแลคนที่เรารักไปนาน ๆ และไม่เป็นภาระของผู้อื่น ความคิดนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเริ่มออกวิ่ง จากที่ก่อนหน้านี้ผมมักคิดเสมอว่า "อยากไปออกกำลังกายนะ แต่สถานที่ออกกำลังกายอยู่ไกล ขี้เกียจเดินทางไป เสียเวลา" จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ออกกำลังกายสักที ซึ่งตอนนั้นเรื่องวิ่งไม่มีอยู่ในความคิดของผมเลย แต่เมื่อใดก็ตามที่ต้องไปเยี่ยมคนป่วยซึ่งเป็นคนที่ผมสนิทที่โรงพยาบาลและฉุกคิดสักหน่อย จะเข้าใจเลยว่า หากเป็นผมที่ต้องนอนโรงพยาบาลเสียเองละ จะเป็นยังไง แน่นอน ภาระหน้าที่ต่าง ๆ ก็ต้องโอนให้คนอื่นทำ ครอบครัวก็ต้องมาดูแล เพื่อน ๆ ก็ต้องมาเยี่ยมและซื้อของฝากมาให้อีก กลับกลายเป็นว่าหากผมเป็นอะไรไปจนต้องนอนโรงพยาบาลละก็ ผมจะเป็นภาระของคนอื่นทันที และแทนที่ผมจะเป็นฝ่ายดูแลคนที่ผมรัก ผมกลับต้องให้คนที่ผมรักมาดูแลผมแทน เสียอีก ผมจึงตัดสินใจว่า เอาละ! ผมจะเริ่มดูแลสุขภาพ จะออกกำลังกายอย่างจริงจัง เพื่อให้มีสุขภาพดี พอตัดสินใจอย่างนี้แล้ว โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยว่าจะเล่นกีฬาอะไรดี อยู่ ๆ กีฬา "วิ่ง" ก็แว็บขึ้นมาในหัวผมทันที เพราะกีฬาวิ่ง เป็นอะไรที่ง่ายที่สุดแล้ว แค่มีรองเท้าวิ่งเพียง 1 คู่ ก็สามารถออกวิ่งได้แล้ว และสามารถวิ่งคนเดียวก็ได้ ไม่ต้องรอให้ใครมาว่างตรงกันกับเราเหมือนกีฬาที่เล่นเป็นคู่หรือเป็นทีม วันที่ 19 มกราคม 2560 เป็นวันที่ผมหยิบรองเท้า แล้วออกไปวิ่ง เป็นวันแรก วันนั้นผมใส่รองเท้าผ้าใบแบบที่ใส่ไปเที่ยวออกไปวิ่ง วิ่งไปก็เจ็บเท้าไป เพราะตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีรองเท้าวิ่งเฉพาะของมันด้วย พอคุณพ่อแนะนำรองเท้าวิ่ง ผมจึงไปซื้อรองเท้าวิ่ง ซึ่งก็ช่วยในการวิ่งได้เยอะเลย ส่วนสถานที่ที่ผมเคยมีข้ออ้างว่า สถานที่ออกกำลังกายอยู่ไกล ขี้เกียจไป เสียเวลา ผมก็หาที่วิ่งแถวใกล้ ๆ บ้าน ที่พอจะวิ่งได้ แล้วอาศัยวิ่งวนกลับไปกลับมา ทางขรุชระบ้าง ก็วิ่งระวังหน่อย เคยสะดุดหกล้มจนหัวเขาถลอก แต่ก็ไม่เป็นไร กลับบ้านทายา 2 - 3 วัน ก็หายก็เป็นปกติแล้ว ถึงตอนนี้ ผมมีรองเท้าวิ่งแล้ว ข้ออ้างที่จะไปสถานที่ออกกำลังกายก็หมดไป จำได้ว่าวันแรกที่ออกไปวิ่ง ผมวิ่งได้แค่ 1 กิโลเมตร ผมก็เหนื่อยแล้ว แล้วเปลี่ยนมาเป็นเดินแทน ตอนนั้นผมยังคิดสงสัยอยู่ว่า คนที่วิ่งมาราธอนไกล ๆ ได้ พวกเขาวิ่งได้ยังไง แต่พอวิ่งอย่างสม่ำเสมอ หลาย ๆ วันเข้า ร่างกายเริ่มปรับตัวได้ จากวิ่งได้แค่ 1 กิโลเมตร ก็เพิ่มมาเป็น 2 กิโลเมตร 3 กิโลเมตร จนมาถึง 5 กิโลเมตร พอผมวิ่งได้ 5 กิโลเมตร ตอนนั้นผมแปลกใจว่า ผมวิ่งได้ยังไง เพราะ 5 กิโลเมตรสำหรับผมตอนนั้น เยอะมาก ๆ แล้ว รู้สึกดีใจที่วิ่งได้มากขึ้น แล้วผมจึงตัดสินใจลงงานวิ่งมาราธอนแรกในชีวิต โดยลงวิ่งประเภท Fun Run (ฟันรัน) ระยะ 5 กิโลเมตร ถึงตอนนี้ กิจกรรมวิ่งได้มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว จากที่เริ่มลงงานวิ่งมาราธอนประเภท Fun Run (ฟันรัน) ต่อมาลงงานวิ่งประเภท Mini Marathon (มินิมาราธอน) ระยะ 10 กิโลเมตร และในที่สุดได้ลงงานวิ่งประเภท Half Marathon (ฮาล์ฟ มาราธอน) ระยะ 21 กิโลเมตร ในที่สุด โดยผมคิดว่าผมไม่ต้องวิ่งแข่งกับใคร เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกัน วิ่งแข่งกับตัวเองก็พอ แล้ว ออกไปวิ่งเรื่อย ๆ ไม่เน้นให้ไปถึงเป้าหมายให้เร็ว แต่เน้นความสม่ำเสมอ จากวันแรกที่วิ่งได้แค่ 1 กิโลเมตรก็เหนื่อยแล้ว สู่ Half Marathon (ฮาล์ฟ มาราธอน) ระยะ 21 กิโลเมตร ใช้เวลาเกือบ 3 ปี จากที่ผมเคยสงสัยว่าคนที่วิ่งมาราธอนไกล ๆ ได้ พวกเขาวิ่งได้ยังไง ตอนนี้ผมได้คำตอบแล้ว และที่สำคัญผมแทบไม่ป่วยเลย ทั้งที่ก่อนหน้าที่ผมจะวิ่ง ปีหนึ่งผมจะป่วยประมาณ 4 - 5 ครั้ง การออกกำลังกาย เป็นเรื่องสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน แต่ถ้าป่วยขึ้นมาและคุณหมอบอกว่าต้องออกกำลังกาย ถึงตอนนั้นมันก็กลายเป็นเรื่องสำคัญและเร่งด่วน ขึ้นมาทันที เพราะยังไงทุกคนก็ต้องดูแลสุขภาพกันอยู่แล้ว จะดูแลสุขภาพตอนที่ยังแข็งแรงเพื่อป้องกันการเจ็บป่วย หรือจะดูแลสุขภาพตอนที่เจ็บป่วยแล้วและคุณหมอสั่ง คุณเลือกเอง สำหรับเหตุผลที่ไม่ออกกำลังกายที่ว่า "ไม่มีเวลา" ลองคิดในอีกมุมหนึ่งว่า หากคุณป่วยและคุณหมอบอกให้ออกกำลังกายแล้วจึงจะหายป่วย ถึงตอนนั้นต่อให้คุณยุ่ง ไม่มีเวลาแค่ไหน คุณก็หาเวลามาออกกำลังกายจนได้อยู่ดี ดังนั้น จริง ๆ แล้ว เหตุผลที่ว่าไม่มีเวลาการออกกำลังกายหรือว่ามันไม่สำคัญมากพอ มาดูแลสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อที่จะได้ดูแล อยู่กับคนที่คุณรักไปนาน ๆ และไม่เป็นภาระของคนอื่น กันเถอะครับ