ต้องดูเลย!! ส้นเท้าแตก?! แก้ได้ง่ายมาก!! ถึงกับตกใจเลยล่ะค่ะ เมื่อผู้เขียนตื่นขึ้นมาพบว่า “ส้นเท้าแตก” จ้า เอ๊ะ ทำไมถึงมีอาการแบบนี้ขึ้นมาได้ ทั้งที่ไม่ได้เดินเท้าเปล่าที่ไหนนอกจากที่บ้าน แล้วมันเกิดจากอะไร ขาดสารอาหารหรือมีปัญหาสุขภาพหรือยังไงนะ คำถามมากมายประดังประเดเข้ามาค่ะ จนผู้เขียนต้องศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม และได้นำสาระความรู้ดี ๆ มาฝากทุกท่านกันค่ะ ภาพจาก Freepik เมื่อลองค้นหาสาเหตุของส้นเท้าแตก ก็พบว่า อาจจะเกิดจากการที่ดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อร่างกายค่ะ หรือการที่อาบน้ำอุ่นบ่อย ๆ การใส่รองเท้าที่ผิดปกติ การที่ไปใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวจำพวกที่ทำให้ผิวแห้งเกินไปค่ะ และอาจจะเพราะอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้อาจจะเพราะการใช้ชีวิตในถิ่นที่มีความหนาวเย็นเกินไป กระทั่งขาดความชุ่มชื้น ก็ทำให้ส้นเท้าแตกได้เช่นเดียวกันค่ะ ภาพจาก Freepik สาเหตุอื่น ๆ เกี่ยวกับโรคร้ายก็สามารถเป็นไปได้ค่ะอย่าง การที่เป็นโรคเบาหวาน อาการแพ้สารเคมี แพ้ปูนซีเมนต์ หรือโรคจำพวกข้ออักเสบต่าง ๆ ค่ะ ซึ่งการที่ส้นเท้าแตกก็เป็นอาการที่บ่งบอกถึงโรคเหล่านี้ได้ค่ะแล้วแบบนี้ถ้าส้นเท้าแตกแล้ว จะรักษายังไงให้กลับมานวลเนียนได้ล่ะข่าวดีก็คือ มีวิธีที่ง่ายมากค่ะ ถ้าจากโดยส่วนตัวของผู้เขียนแล้วที่เคยทำกระทั่งหายค่ะก็คือ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นสูงเหมือนพวกวาสลีนอะไรแบบนี้ค่ะ แต่ที่ผู้เขียนใช้จะเป็นสำหรับคนที่ทำเลเซอร์และคนผิวแห้งมาก ๆ โดยเฉพาะเลยค่ะ ยี่ห้อ Eucerine สูตร Aquaphor ค่ะ ราคา 520 จากวัตสันค่ะ ทาทุกวันไม่เกินอาทิตย์ก็กลับมามีส้นเท้าเนียนปกติแล้วค่ะ จริง ๆ รู้สึกได้ตั้งแต่ครั้งแรกเลยค่ะ ตอนที่ผู้เขียนทำเลเซอร์ผิวหน้าก็ใช้ตัวนี้แทนยาหมอตลอดค่ะ เพราะเค้ามีส่วนผสมสำหรับผิวแห้งมากโดยเฉพาะค่ะ อันนี้ไม่ได้อวยเลย เรื่องจริงล้วน ๆ ค่ะ ใช้ดีมาก ๆ ค่ะ ภาพโดย ผู้เขียน ภาพจาก Freepik กลับมาที่สาระความรู้ทางสุขภาพกันต่อค่ะ ถ้าหากว่าไม่หายดี อาการส้นเท้าแตกนี่ต้องถึงขั้นพบแพทย์เลยนะคะ เพื่อให้แพทย์ ผ่าตัดเอาพวกเนื้อที่ตายแล้วออกไปค่ะ ซึ่งวิธีนี้เค้าห้ามทำเองด้วยนะคะ หรืออาจจะใช้ผ้ามาปิดที่ส้นเท้า หรืออาจจะ เปลี่ยนส้นรองเท้าใหม่ให้มีความนุ่มกว่าเดิม ไม่ใส่รองเท้าส้นแข็ง ๆ ค่ะ แต่สำหรับผู้เขียนแล้วบอกเลยว่าวิธีแรกที่แนะนำไป คือเห็นผลเร็วสุด ไม่ต้องรออะไรหรือทำอะไรมากเลยค่ะสำหรับการป้องกันนะคะ ให้เรากลับไปที่สาเหตุของส้นเท้าแตกเลยค่ะ ก็คือ ไม่ควรอาบน้ำอุ่นมากเกินไปจนผิวแห้งเสีย ขาดความชุ่มชื้น เวลาที่ใส่รองเท้าก็ต้องใส่ให้พอดีเท้าไม่เหยีบส้นค่ะ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าเป็นเวลานาน ๆ ด้วยนะคะ นอกจากนี้ควรตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำทุกปีด้วยค่ะ ว่าเราเป็นเบาหวานหรือเปล่านะ จะได้แก้ไขปัญหาได้ทันท่วงทีด้วยค่ะเพียงเท่านี้ อาการส้นเท้าแตกก็จะหายเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะค่ะ ตอนนี้ผู้เขียนก็สบายเท้ามาก ๆ เลยล่ะค่ะ อย่าลืมนะคะมีปัญหาส้นเท้าแตก ทำตามวิธีที่บอกไป ได้ผลแน่นอนค่ะภาพปกจาก Freepik