ประสบการณ์แพ้ท้องที่ไม่ได้มีแค่คลื่นไส้อาเจียน ของขวัญที่ดีที่สุดของคนเป็นแม่นั่นก็คือลูกน้อยที่เกิดมาอย่างสมบูรณ์แข็งแรง เขียนเป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังมีประสบการณ์ตั้งครรภ์อยู่ในขณะนี้ แต่หลังจากที่ได้ผ่านช่วงไตรมาส 1 และไตรมาสที่ 2 มาจนถึงไตรมาสสุดท้ายแล้วนั้น ก็อดนึกถึงช่วงแรกที่ตั้งครรภ์ไม่ได้จนต้องนำมาถ่ายทอดเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอาการแพ้ท้องในขณะนั้นที่ต้องเผชิญ หลายคนโชคดีที่ตั้งครรภ์แล้วไม่มีอาการแพ้ท้อง แต่ในขณะที่หลายคนก็โชคร้ายที่แพ้ท้องหนักจนแทบจะกินอะไรไม่ได้ ผู้เขียนจัดอยู่ในคนที่มีอาการแพ้ท้องระดับกลาง ๆ ไม่มากแต่ก็ไม่ถึงกับไม่แพ้เลย ภาพถ่ายโดยผู้เขียน ผู้เขียนได้พบว่าตัวเองตั้งครรภ์ก็เมื่อรู้สึกว่าร่างกายอ่อนเพลียง่ายจนผิดปกติ บวกกับประจำเดือนที่ขาดหายไปเลยทำให้ผู้เขียนตัดสินใจไปตรวจที่โรงพยาบาล เมื่อผลตรวจออกมาว่าผู้เขียนกำลังตั้งครรภ์นั้นก็ได้รีบฝากท้องโดยทันที ซึ่งขั้นตอนในการฝากท้องนั้นจะต้องชั่งน้ำหนัก วัดความดัน และรอให้พยาบาลซักถามประวัติ หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนทุกอย่างแล้วเราจะได้หนังสือสีชมพู ซึ่งเป็นหนังสือที่ออกโดยกระทรวงสาธารณสุข เป็นสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็กที่ผู้เป็นแม่จะต้องเก็บให้ดี เพราะเราจะต้องนำสมุดบันทึกสุขภาพเล่มนี้มอบให้คุณครูเพื่อบันทึกประวัติสุขภาพเด็กในวันที่ลูกเข้าโรงเรียน ภาพถ่ายโดยผู้เขียน หลังจากฝากครรภ์เสร็จสิ้น ผู้เขียนก็ได้กลับมาใช้ชีวิตปกติที่บ้าน แต่หลังจากอายุครรภ์ได้เกือบ 1 เดือนก็เริ่มมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายหลายอย่าง เช่น รู้สึกคลื่นไส้เมื่อได้กลิ่นอาหารบางชนิด รู้สึกคลื่นไส้เมื่อได้กลิ่นน้ำหอมหรือแป้งที่มีกลิ่นหอม แม้แต่กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มก็สามารถทำให้รู้สึกคลื่นไส้และอาเจียนได้ทันที ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ทรมานมาก ผู้เขียนไม่สามารถทานอาหารบางชนิดได้ อาหารที่สามารถรับประทานได้นั้นจะเป็นอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำ เช่น ก๋วยเตี๋ยว มาม่า ข้าวต้ม หากเป็นหนักถึงขั้นทานอะไรแทบไม่ได้ผู้เขียนจึงทำได้แต่ซดน้ำซุปรองท้องเท่านั้น ภาพถ่ายโดยผู้เขียน สำหรับอาการแพ้ท้องของผู้เขียนนั้นไม่ได้มีแค่คลื่นไส้อาเจียนอย่างที่ผู้คนทั่วไปเข้าใจ แต่เมื่อได้มาตั้งครรภ์จริง ๆ ถึงได้รู้ว่านอกจากอาการคลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ อ่อนเพลียง่ายแล้วนั้น ยังมีอาการอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น ลิ้นรับรสชาติอาหารผิดเพี้ยน แม้ว่าจะเป็นอาหารคาวก็ตามแต่เมื่อผู้เขียนรับประทานเข้าไปมันจะกลายเป็นอาหารที่มีความหวานผิดปกติ แต่เมื่อรับประทานอาหารหวานก็จะกลายเป็นอาหารที่มีรสชาติจืด หากรับประทานอาหารรสเปรี้ยวก็จะไม่รับรู้รสชาติอะไรเลย อีกหนึ่งอาการที่ผู้เขียนต้องเผชิญระหว่างที่ตั้งครรภ์นั่นก็คือ ไม่สามารถที่จะยืนนาน ๆ ได้ ครั้งหนึ่งผู้เขียนเคยไปทำธุระที่โรงพยาบาล ระหว่างที่ยืนอยู่เฉยๆในห้องแอร์ที่เย็นฉ่ำนั้นจู่ ๆ ก็รู้สึกเวียนหัวตาลาย ไม่ว่ามองไปทางไหนก็กลายเป็นสีเขียวไปหมด ก่อนที่ผู้เขียนจะเป็นลมล้มพับไปเลย ซึ่งนั่นเป็นเรื่องน่าแปลกมากทั้งที่ยืนอยู่เฉย ๆ ในอากาศที่เย็นแต่ก็สามารถเป็นลมได้ นับตั้งแต่วันนั้นผู้เขียนก็ได้ตระหนักแล้วว่าร่างกายของตัวเองไม่ปกติเหมือนคนทั่วไป แต่ต้องอาศัยการบำรุงดูแลมากกว่าคนปกติถึง 2 เท่า ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคนจะต้องทานอาหารที่มีประโยชน์กับตัวเองและลูกน้อยในครรภ์ รวมทั้งยังต้องทานยาบำรุงอย่างสม่ำเสมอ เพราะการที่เราทานยาบำรุงไม่สม่ำเสมออาจจะส่งผลต่อลูกในท้องได้