รีเซต

คอลเลกชันเครื่องประดับชั้นสูง Le Grand Tour จาก Van Cleef & Arpels

คอลเลกชันเครื่องประดับชั้นสูง Le Grand Tour จาก Van Cleef & Arpels
pommypom
18 สิงหาคม 2566 ( 10:00 )
159

     เมืองเนเปิลส์ หนึ่งในแรงบันดาลในการสร้างสรรค์เครื่องประชั้นสูงคอลเลกชัน Le Grand Tour จาก Van Cleef & Arpels นำมาสู่ผลงานอันเลอค่าอย่างสร้อยคอ “มงกุฏดอกไม้” หรือ Ninfe (นินเฟ) ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากลายปูโมเสกซึ่งถูกค้นพบท่ามกลางซากปรักหักพังของวิหารนางอัปสรแห่งนครเฮอร์คิวเลเนียม (เมืองโรมันโบราณ) ประดับด้วยไพลินสีชมพูที่เรียงตัวรอบวงคอมาบรรจบกัน และรัตนชาติสีสดสามเม็ด ได้แก่รูเบลไลต์สีชมพูอ่อนเจียระไนทรงเหลี่ยมหมอนน้ำหนัก 24.02 กะรัต โดดเด่นตัดกับรูเบลไลต์แดงสดอมชมพูเข้มเจียระไนทรงวงรีสองเม็ด น้ำหนัก 12.44 และ 11.52 กะรัต องค์ประกอบต่างๆ ได้ถูกคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถันโดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณีของแบรนด์

 

 

สร้อยคอ “มงกุฎดอกไม้” หรือ Ninfe (นินเฟ)
ตัวเรือนทองคำสีกุหลาบประกอบทองคำขาวร้อยพวงดอกไม้อัญมณีโดยมีทุรมาลีสีทับทิมหรือ
รูเบลไลต์เม็ดเดี่ยวเจียระไนทรงเหลี่ยมหมอนน้ำหนัก 24.02 เป็นศูนย์กลางอยู่ระหว่างทุรมาลีสีทับทิมสดเจียระไนทรงวงรีสองเม็ดน้ำหนัก 12.44 กับ 11.52 กะรัต ร่วมกับงานประดับไพลินสีชมพู, ทับทิม, โกเมนสี

 

     สร้อยคอ “มงกุฎดอกไม้” หรือ Ninfe (นินเฟ) คือการรังสรรค์รูปแบบความงดงามชวนฝันของมงกุฎดอกไม้ หรือ “มาลาพฤกษา” ดังปรากฏบนลายปูโมเสก ซึ่งถูกค้นพบท่ามกลางซากปรักหักพังของวิหารนางอัปสรแห่งนครเฮอร์คิวเลเนียม โดยสันนิษฐานว่าถูกปลูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานบูชาเหล่าเทพธิดาอารักษ์แห่งพงไพร ความวิจิตรบรรจงของมาลาพฤกษาที่ถูกรัดร้อยเข้ากับริบบินสองสาย ซึ่งอาศัยงานออกแบบกลับด้านราวเงาสะท้อน ถูกเนรมิตขึ้นเป็นเรือนสร้อยล้ำค่าประกอบข้อต่อทองคำสีกุหลาบสลักลายคิ้วนูนคั่นจังหวะช่องไฟด้วยงานฝังเพชร และประดับรายละเอียดด้วยไพลินสีชมพูให้เรียงตัวรอบวงคอมาบรรจบกันภายใต้ลูกเล่นประติมากรรมปมเงื่อนสามมิติ ขณะเดียวกับที่ศูนย์กลางด้านหน้าตัวเรือนรองรับการจัดสัดส่วนองค์ประกอบเชิงโครงสร้างระหว่างมวลใบไม้ทองคำสีกุหลาบสลักลายคิ้วนูนต่างเส้นใบ, ทองคำขาวเดินลายเส้นใบฝังเพชร รวมถึงใบไม้แก้วประพาฬสีแดง และใบไม้แก้วประพาฬสีชมพู “เนื้อผิวนางอัปสร” (angel skin) ให้รายล้อมรอบความเลอเลิศของรัตนชาติสีสดน้ำกระจ่างสุกใสทั้งสามเม็ด อันได้แก่รูเบลไลต์สีชมพูอ่อนเจียระไนทรงเหลี่ยมหมอนน้ำหนัก 24.02 กะรัตจรัสประกายล้อแสงสุกสว่างอาบผิวระหงคอจากน้ำพลอยอย่างโดดเด่นตัดกับโทนเข้มล้ำลึกของทุรมาลีสีทับทิมหรือรูเบลไลต์แดงสดอมชมพูเข้มเจียระไนทรงวงรีสองเม็ด น้ำหนัก 12.44 และ 11.52 กะรัต เจ้าของเนื้อสีเสมอกันอย่างหมดจด อันเป็นผลจากการคัดเลือกสุดพิถีพิถัน และใส่ใจเป็นอย่างยิ่งของทีมผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณีประจำ Van Cleef & Arpels อีกทั้งความสมมาตรเชิงสัณฐาน จึงทำให้โทนสีของทั้งสามกลมกลืนกับทับทิม, ไพลินสีชมพู และโกเมนสีส้มสเปซซาไทต์ ซึ่งถูกระดมมาอยู่ร่วมกันราวจัดพฤกษาเข้าช่อประดับผลงาน 

     ความพิถีพิถัน และใส่ใจอย่างที่สุด ยังครอบคลุมไปถึงงานคำนวณสัดส่วน และตำแหน่งของการประกอบชิ้นส่วนทั้งหลายเข้าด้วยกันอย่างแยบยล เช่นเดียวกับที่ปลายใบไม้บนโมทิฟกึ่งกลาง ได้รับการขัดเกลาเหลี่ยมมุมให้โค้งมนลดสัมผัสระคายผิวระหว่างสวมใส่ นี่คือผลงานซึ่งถูกออกแบบขึ้นเพื่อยกย่องความสำคัญของช่วงเวลาแห่งความสุข เบิกบานใจเมื่อการเริ่มต้นใหม่ตามวัฏฏะตราบนิรันดร์ของธรรมชาติได้มาถึง อันถือเป็นแหล่งกำเนิดแรงบันดาลใจ จุดประกายจินตนาการให้แก่ Van Cleef & Arpels มานับแต่ก่อตั้ง

 

 

สร้อยคอ “มาดดาเลนา” ร้อยจี้ประดับโมทิฟไข่มุกซึ่งสามารถปลดออกได้
ตัวเรือนทองคำขาวฝังเพชรร่วมกับเดินรายละเอียดด้วยทองคำสีเหลือง 
โมทิฟจี้สร้อยคอเป็นงานเพชรล้อมมรกตเจียระไนทรงกองข้าวเม็ดเดี่ยว
น้ำหนัก 13.78 กะรัต (มรกตโคลอมเบีย) ร้อยระย้ามุกเลี้ยงสีเทาเม็ดเดี่ยว

 

     แรงบันดาลใจจากจี้สร้อยคออยู่ในภาพ “หญิงสาวกับยูนิคอร์น” หรือ Young Woman with Unicorn ซึ่งจิตรกรราฟาเอล วาดขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1505 นำมาสู่การสรรค์สร้างสร้อยคอ “มาดดาเลนา”(Maddalena) ที่ทิ้งตัวลงมาอย่างอ่อนช้อยด้วยสายตัวเรือนทองคำขาวฝังเพชรทอประกายระยิบระยับ โดยอาศัยโครงสร้างอันถูกออกแบบให้ได้สัณฐานรองรับโค้งสรีระอย่างพอดีจนดูเหมือนเป็นเส้นริบบินเลอค่าคลี่แถบแนบเนื้อผิวจากฐานลำคอจนมาบรรจบพบกันเหนือเนินทรวง ก่อนถูกรวบมัดปมร้อยจี้โมทิฟเพื่อเป็นศูนย์กลางความต่อเนื่องของมิติทรง ท่ามกลางงานประติมากรรมขดก้นหอยตอนบนของชิ้นโมทิฟจี้สร้อยคอ คือมรกตเม็ดเดี่ยวเจียระไนทรงกองข้าว (เหลี่ยมพีรามิดขอบโค้ง) น้ำหนักสูงกว่า 13 กะรัต ทอรัศมีเขียวสดตัดกับประกายเหลื่อมรุ้งระยับแสงของไข่มุกสีเทาจากตาฮิติ ซึ่งสามารถปลดออกได้ตามต้องการ ระหว่างความกลมกลืนทางสรรพสี งานฝังเพชรล้อมบนตัวเรือนทองคำขาวมอบความงามสง่าอันอยู่เหนือกระแสความนิยมของยุคสมัยด้วยการใช้รูปทรงเรขาคณิตในงานสถาปัตยกรรม บรรดารายละเอียดต่างๆ อย่างเพชรเจียระไนทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส, การจัดสัดส่วน และตำแหน่งลดหลั่นในงานฝังเพชรขึ้นตัวเรือน, ความเฉียบคมในงานเจียระไนมรกต, หนามเตยสามเขี้ยว หรือกระทั่งตะปูทองคำสีเหลืองสำหรับใช้ยึดไข่มุกเทา ล้วนเป็นเทคนิคที่ถูกระดมมาใช้ร่วมกันจำแลงความโดดเด่นเป็นหนึ่งของสถาปัตยกรรมผนังก่ออิฐทรงจัตุรัสเหลี่ยมเพชรอันเลื่องชื่อบนด้านหน้าตัวอาคารโบสถ์แห่งเจซู นัวโว (Gesu Nuovo) ของเมืองเนเปิลส์ อดีตพระราชวังซึ่งถูกปลูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1470 สำหรับโรแบรโต ซานเซเวริโน เจ้าชายแห่งซาเลรโน มาสู่ความวิจิตรบรรจงของเครื่องประดับชั้นสูงอย่างแยบยล

 

งานแกะร่องรองรับการฝังอัญมณีบนตัวเรือนสร้อยคอ “มาดดาเลนา”

 

การฝังมรกตทรงกองข้าวลงบนโมทิฟจี้สร้อยคอ “มาดดาเลนา”

 

     นอกจากนี้ยังมีชุดเข็มกลัดสามชิ้นได้แก่ เข็มกลัดลำนำพฤกษา, เข็มกลัดลำนำรุกขชาติ และ เข็มกลัดลำนำแห่งพลิ้วคลื่น ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากจินตนาการของ Van Cleef & Arpels อันมีต่อทัศนียภาพธรรมชาติของชายฝั่งอัลมาฟี ชายฝั่งตอนใต้ของอ่าว Salerno ซึ่งเรียงรายไปด้วยวิลลาตากอากาศสุดหรู โดยเข็มกลัดทั้งสามชิ้นนี้ได้ประดับตกแต่งไปด้วยรัตนชาติสลับสี ใบไม้หลากรูปทรงต่างมิติที่ทำจากทองคำสีกุหลาบและทองคำขาว รวมถึงงานสลักลายคิ้วนูนที่ชวนให้นึกถึงสถาปัตยกรรมระเบียงซ้อนภายในสวนลอยฟ้าแห่งเมืองราเวลโล ที่ขึ้นชื่อในเรื่องสวนที่มองเห็นทิวทัศน์ชนบทโดยรอบและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

 

 

 

 

บทความที่เกี่ยวข้อง