“มะเร็งรึ ? ท่านหมอ ท่านบอกว่าข้าเป็นมะเร็งรึ ” หากว่า Madamcancer (ผู้เขียน) คือ คุณหนูแห่งสกุลซู ที่นามว่า ซูถานเอ๋อร์ นางเอกในซีรีส์จีนย้อนยุค ที่กำลังโด่งดัง ก็คงจะตะโกนถามคุณหมอด้วยประโยคนี้ เพื่อให้ทั้งโลกได้ยิน แต่สิ่งที่ทำได้ในความเป็นจริงคือ.. ฉันเป็นมะเร็ง!!! หมอบอกฉันเป็นมะเร็ง ทำไมฉันถึงเป็นมะเร็ง? ฉันจะตายมั้ย? ฉันต้องตายแน่ ฉันต้องไม่รอด เป็นเสียงที่ตะโกนก้องในหัวซ้ำไปซ้ำมา สวนทางกับร่างกายที่ไร้ซึ่งคำพูด หรือ วาจาใดเอื้อนเอ่ย พลังลมปราณภายในยังคงเก็บกดอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้ได้ โลกทั้งโลกมืดมน ไร้ทางไปต่อ ลูก พ่อแม่ สามี ใครจะดูแลต่อจากนี้ เวลาที่เหลือล่ะ อีกกี่วัน อีกกี่เดือน อีกกี่ปี? ถ้าโชคร้ายก็คงเหลือเวลาแค่ไม่กี่วัน โชคดีหน่อยก็เป็นเดือน โชคดีที่สุดก็เป็นปี แต่แล้วยังไง? สุดท้ายฉันก็ต้องตายอยู่ดี นี่แหละความคิดของผู้ป่วยมะเร็ง อาจจะทุกคนที่คิดแบบนี้ หรือ อาจจะบางคน แต่เชื่อหรือไม่ น้อยคนนักที่ไม่คิด นั่นแหละ Madancancer เมื่อ 4 ปีก่อน 4 ปีก่อน? ใช่ 4 ปีแล้ว จากวันที่รับรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งรังไข่ระยะที่ 1C ในวัยเพียง 36 ปี ตลกไหมล่ะ ในช่วงที่คิดว่าชีวิตกำลังไปได้ดี กำลังมีลูกที่น่ารัก มีครอบครัวที่ดี หน้าที่ การงาน ทุกอย่างกำลังรุ่งพุ่งแรง แต่ต้องเบรกอย่างตัวโก่ง เพื่อเข้าสู่การฝึกวิทยายุทธแห่งสำนักผู้ป่วยมะเร็ง เข้ารักษาตัว ผ่าตัด รับคีโม แพ้คีโม น้ำหนักลด ผมร่วง หัวล้าน กลายเป็นศิษย์สำนักเส้าหลินโดยปริยาย ฮึดสู้จนจบคอร์ส คิดว่าคงหายแน่แล้ว ท่านอาจารย์หมอก็บอกว่ามีโอกาสหาย 80%-90% คิดว่าคงสำเร็จวิชา ลาอาจารย์ออกไปท่องยุทธภพได้แล้ว ก็เลยกลับมาใช้ชีวิตปกติ ทำงาน กินอาหารมังสวิรัติ ออกกำลังกายบ้าง แหม! สงสัยเคล็ดวิชาคงยังไม่บรรลุ ผ่านไปแค่ 7 เดือน ลมปราณเกิดตีกลับหรืออย่างไร เจ้าเพื่อนยากที่หลบลี้หนีไป ก็หวนกลับมาทักทาย หรือ มันอาจจะใช้วิชาพรางกาย แอบอยู่ตลอด 7 เดือนนั้น กลับมาหาท่านอาจารย์หมออีกครั้ง ผลการตรวจพบว่าในช่องท้องยังมีก้อนมะเร็งที่โตขึ้นอยู่ อา......อีกแล้วหรือนี่? ความรู้สึกดำมืดนี้มันคืออะไร? คงต้องคารวะ ฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์หมออีกครั้ง รอบนี้โหดกว่าเดิม ต้องผ่าตัดอีกครั้ง ถ้านับแล้วก็เป็นรอบที่ 5 ของการผ่าตัดหน้าท้อง รับคีโมสูตรเดิม แต่ทว่าไม่ตอบสนอง ต้องเปลี่ยนสูตร เปลี่ยนแล้วก็เปลี่ยนอีก เปลี่ยนอีกก็เปลี่ยนใหม่ ร่างกายก็ชักไม่ไหว ผลข้างเคียงก็รุนแรงซะจนเหนื่อย หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก เวียนหัว ทรงตัวไม่ได้ จนถึงขั้นเดินไม่ได้อยู่ประมาณเกือบปี ฉันจะตายมั้ย? มาอีกแล้วกับคำถามซ้ำๆในหัว แต่เชื่อไหม ในช่วงที่ความรู้สึกมันดำดิ่งลงเหวแบบสุด ๆ แวบหนึ่งมันก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า “ตายแล้วทำไม มีใครบ้างที่ไม่ตาย” ในโลกนี้ทุกคนล้วนเข้าแถวรอคิวทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าจะถึงเวลาของใครก่อนก็เท่านั้น เออแน่ะ! คิดได้แบบนี้รู้สึกโล่งแบบประหลาด เริ่มเกิดปัญญา งั้นถ้าไม่ถึงเวลา ระหว่างทางนี้เราจะอยู่ยังไง เริ่มค้นคว้าหาข้อมูล ศึกษาทำความเข้าใจโรคที่เป็น แล้วก็ลองทำดู ทำอะไรบ้างละ ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว คำนี้ได้ผลดีที่สุด เปลี่ยนความคิด เปลี่ยน mindset เพิ่มพลังทางบวก ยังไงล่ะ ก็คิดซะว่าเป็นมะเร็งก็เหมือนหวัดเป็นได้ หายได้ หายแล้วก็เป็นใหม่ เป็นใหม่ก็รักษา มะเร็งไม่ใช่คนอื่น มะเร็งก็คือเซลล์เรา ที่อาจลืมรักและดูแลเขา เขาเลยน้อยใจก่อบฏเล็กน้อยแค่นั้นเอง เป็นมะเร็งได้รับสิทธิ์หลายอย่างที่คนปกติไม่มีโอกาสได้รับนะ เช่น สิทธิ์ในการผักผ่อนไม่ต้องทำงาน โดยไม่มีใครมาหาว่าขี้เกียจ สิทธิ์ในการกินอะไรก็ได้ โดยไม่มีใครมองว่าตะกละ สิทธิ์ในการพูดบอกรักคนรอบข้าง โดยไม่มีใครคิดว่าเราประจบ สิทธิ์ในการแต่งแฟชั่นผ้าโพกผม โดยไม่มีใครบอกว่ามันไม่สวย สิทธิ์ในการสวดมนต์และนั่งสมาธิได้นานๆ โดยไม่มีใครมารบกวน หรือ เรียกให้ไปทำอย่างอื่น เห็นไหม เป็นมะเร็งก็สบายนะ นอกจากคิดบวกแล้ว การอยู่กับธรรมชาติ ดอกไม้ใบหญ้า ก็ช่วยปัดเป่าบรรเทาอารมณ์หมองเศร้าได้ชะงัดนักแล กาย ถึงแม้มันจะเป็นบ่าวแต่เราก็ต้องดูแล เพราะหากบ่าวมันไม่ยินยอมพร้อมใจไปกับนาย เรื่องร้ายคงไม่บรรเทา การดูแลกายก็แค่ กินดี และก็ออกกำลังกายดี แล้วกินอย่างไรละถึงจะเรียกว่ากินดี ก็ยึดหลัก สด สะอาด สุกใหม่ หลากหลายสีสัน และในหนึ่งวันหลากหลายอาหาร ก็คืออาหารที่นำมาประทานในแต่ละมื้อต้องเป็นอาหารที่ทำมาจากของสดไม่แปรรูป มีความสะอาดในกระบวนการล้างและกรรมวิธีการประกอบ รวมถึงต้องทำใหม่ ไม่ใช่อาหารค้างคืน และ ในหนึ่งวันไม่ควรกินอาหารซ้ำในเมนูเดิม ควรกินหลากหลาย และอาหารแต่ละมื้อควรมีครบสี เพราะอาหารที่มีสีสันพวกนี้มักมาจากพืช มีสารพฤกษเคมี และมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งได้ ตัวอย่าง สารพฤกษเคมีก็อย่าง เช่น พืชสีเหลืองและส้ม ได้แก่ สารฟลาโวนอยด์ สารแคโรทีนอยด์ ในแครอท ฟักทอง มะม่วงสุก สับปะรด ข้าวโพด มะละกอ นอกจากสารต้านอนุมูลอิสระแล้ว ยังช่วยบำรุงสายตา และช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันด้วย พืชสีเขียว ได้แก่ ลูทีน คลอโรฟิลล์ในผักใบเขียวทั่วไป เช่น ผักโขม บรอกโคลี คะน้า ตำลึง พลูคาว ผักแผ้ว มีส่วนช่วยในการมองเห็น และเพิ่มความแข็งแรงให้กระดูกและฟัน และต้องเสริมวิตามินซีธรรมชาติ จากมะขามป้อม สุดยอดแห่งราชาวิตามินซี พืชสีแดง ได้แก่ ไลโคปีน และแอนโทไซยานิน ในมะเขือเทศ เชอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี แตงโม บีทรูท กระเจี๊ยบแดง ป้องกันโรคระบบทางเดินปัสสาวะ ชะลอการเสื่อมของเซลล์ โดยเฉพาะเซลล์ผิวหนัง พืชสีขาว-สีน้ำตาล ได้แก่ อัลลิซิน แร่ธาตุซีลีเนียม พบในกล้วย หัวหอม กระเทียม กะหล่ำปลี เห็ด มีส่วนช่วยลดไขมันในเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด และยังมีส่วนช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ พืชสีม่วงหรือสีน้ำเงิน ได้แก่ แอนโทไซยานิน ฟีโนลิค ในพืชตระกูลเบอร์รี่ หม่อน มะเขือม่วง กะหล่ำปลีสีม่วง ดอกอัญชัน ป้องกันการเกิดโรคระบบทางเดินปัสสาวะ ชะลอการเสื่อมของเซลล์ และลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด คุณค่าของสารอาหารและสารพฤกษเคมีเหล่านี้ ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ อีกอันในการดูแลกาย คือ การออกกำลังกาย โดยส่วนตัวแล้วมักเพิ่มพลังหยินหยางในร่างกายให้สมดุล โดยการเต้น เปิดเพลงที่ชอบแล้วก็โยกย้ายส่ายสะโพกไปตามเรื่อง ได้ทั้งออกกำลังกาย แล้วก็ยังได้ความสนุก คลายเครียด อะดรีนาลินหลั่ง ความสุขหลั่ง เซลล์มะเร็งน้อย ๆ ก็คงจะรับรู้ได้แล้วก็คงจะสงบลงได้ แต่มันคงไม่หายไปไหนหรอก เพราะท่านอาจารย์หมอก็ได้กล่าวไว้ว่า ร่างกายของทุกคนมีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นทุกวัน แต่จะไม่ปรากฏ หากว่าภูมิคุ้มกันของร่างกายของเราดี สามารถจัดการกับเซลล์นั้นได้ ฉะนั้นสิ่งที่ทำ ก็เพียงเพื่อต้องการให้ภูมิคุ้มกันดีขึ้น สามารถดูแลกายสังขารได้ดีขึ้น และทำให้โรคที่เป็นอยู่สงบลงให้นานที่สุด เจ้ามะเร็งเอ๋ย 4 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าเจ้าจะยังคงอยู่หรือไม่ แต่ข้าก็ค้นพบแล้วว่าจะอยู่เยี่ยงไร? ก็แค่ปรับใจ และเปลี่ยนกายให้อยู่แบบมีสุขและทุกข์น้อยที่สุด เพื่อที่จะได้ใช้กายสังขารนี้ทำประโยชน์ และอยู่กับคนที่ข้ารัก และรักข้าต่อไป เท่าที่เวลาซึ่งเบื้องบนได้กำหนดไว้แล้ว ของแต่ละคน ก็เท่านั้นเองเครดิตภาพถ่าย จากผู้เขียนเองติดตามเป็นกำลังใจกันได้ในกลุ่ม facebook กลุ่ม มะเร็ง เอ๋ย มะเร็ง อยู่ยังไงให้รอด? เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !