อุปสรรคในการลดความอ้วนก็คงหนีไม่พ้นเรื่องอาหาร มาเป็นอันดับหนึ่ง หลายคนมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับอาหารที่ควรและไม่ควรกิน บางคนเข้าใจว่าไม่กินแป้งจะผอม หรือบางคนเข้าใจว่ากินน้อยๆ ถึงจะผอม วันนี้เราขอเสนอความเชื่อบางประการที่สาวๆ อาจจะกำลังเข้าใจผิดกันอยู่ ถ้าอยากผอม...ต้องทำความเข้าใจกันใหม่นะคะ แหล่งที่มา : unsplash.com 1.จริงหรอ? ต้องลดแป้ง น้ำหนักถึงจะลด! การไม่กินแป้งและไขมัน ฉันผอมแน่!! จริงๆแล้วนั้น เป็นความคิดที่ผิดนะคะ จริงอยู่ที่ว่าการงดทานแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตนั้นจะช่วยทำให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ร่างกายยังคงต้องการแป้งเพื่อนำมาใช้งานอยู่นะคะ เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายโหยหามากๆแล้วล่ะก็ ความโยโย่จะมาเยือนนะคะสาวๆ ทางที่ดีควรกินในปริมาณที่เหมาะสมเท่าที่ร่างกายต้องการดีกว่าค่ะ โดยปกติร่างกายต้องการคาร์โบไฮเดรตแค่วันละ 60-80 กรัมเท่านั้นเอง ส่วนไขมันก็เป็นสารอาหารที่จำเป็นเช่นเดียวกัน โดยสามารถทานในปริมาณ 2 ช้อนชาตามความต้องการของร่างกายค่ะ แหล่งที่มา : unsplash.com 2.จะลดความอ้วนหรอ? กินสลัดซิ! ใครหลายต่อหลายคนก็เข้าใจเหมือนกันคือ กินสลัดเพื่อลดน้ำหนัก ทังที่น้อยคนมากๆ ที่จะทานสลัดแล้วไม่ราดน้ำสลัด อีกทั้งในปัจจุบันสลัดถูกปรุงแต่งด้วยเครื่อง และรสชาติ เพื่อให้อร่อยและถูกปากกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น มายองเนสที่ผสมมาในน้ำสลัด หรือข้าวโพด แห้ว เผือก ซึ่งในบางทีอาจให้พลังงานมากกว่าข้าวขาว 1 ทัพพีด้วยซ้ำค่ะ ทางที่ดีควรทานสลัดในรูปแบบที่ไม่ต้องผ่านการปรุงแต่งเพิ่มเติมหรืออาจจะทานเป็นเครื่องเคียงร่วมกับการทานอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักก็ได้นะคะ แหล่งที่มา : unsplash.com 3.ผลไม้ไง ถ้าอยากจะควบคุมน้ำหนัก! ท้ายสุดแต่ไม่ใช่สุดท้าย กับเรื่องราวของผลไม้ลดความอ้วน หลายคนอาจยกให้อาหารมื้อนั้นคือผลไม้ไปเลยทั้งมื้อ แต่นั่นคือความเข้าใจผิดค่ะ การทานผลไม้เพียงอย่างเดียวนั้นไม่ช่วยให้ลดความอ้วนแถมยังอาจจะเป็นการเพิ่มน้ำหนักโดยไม่รู้ตัวด้วย เพราะผลไม้บางชนิดนั้นมีสารที่ให้ความหวานอยู่แล้ว และเมื่อกินในปริมาณที่มากเกินไปก็สามารถทำให้อ้วนได้เช่นเดียวกันนะคะ เช่น กล้วยไข่, เงาะ หรือมะม่วงสุก หรือถ้าหากวันไหนที่รู้สึกว่าทานผลไม้ในปริมาณมากแล้ว ก็อาจจะมีการเลี่ยงอาหารประเภทแป้งลงก็ได้นะคะ แหล่งที่มา : unsplash.com ความสมดุลของอาหารจัดได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการลดน้ำหนักเลยก็ว่าได้ เราควรทานอาหารในทุกๆ มื้อให้ครบทุกๆสารอาหาร เพียงแต่ว่าควรทานในปริมาณที่พอเหมาะกับร่างกาย เพื่อที่ร่างกายจะได้นำไปใช้งานทั้งหมดและไม่ถูกเก็บสะสมในรูปแบบของไขมันนั่นเอง