สูญเสียแต่ไม่เสียศูนย์ (บทความสุขภาพจิต) ภาพจาก : JerzyGorecki / pixabay “อาจารย์ครับผมจะบอกกับภรรยาอย่างไรดีว่าลูกชายได้เสียชีวิตจากเราไปแล้ว” นั่นเป็นคำถามจากกัลยาณมิตรของผู้เขียนท่านหนึ่งที่โทรศัพท์มาจากโรงพยาบาลในขณะที่ตัวเองและภรรยาก็ยังนอนรักษาอาการป่วยจากการติดเชื้อ โควิด-19 อยู่ด้วยกันนั่นเอง ฝ่ายสามีอาการดีขึ้นมากแล้ว ส่วนภรรยายังนอนรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียูส่วนลูกชายนั้นเสียชีวิตและทางการก็นำศพไปฌาปนกิจเรียบร้อยแล้ว กัลยาณมิตรคนดังกล่าวติดเชื้อโควิด-19ทั้งครอบครัวและทุกคนนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเช่นกัน ผู้เขียนตั้งใจรับฟังพร้อมทั้งให้กำลังใจและบอกเขาไปว่ายังไม่ควรบอกข่าวร้ายแก่แม่ของลูก เพราะว่าตัวเขาเองก็ยังต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่ห้องไอซียูเช่นกัน จะทำให้คุณแม่ตกใจ เสียกำลังใจพลอยทำให้การต่อสู้ด้านร่างกายเสียพลังไปด้วย จนในที่สุดภรรยาของเขาก็อาการดีขึ้นเรื่อยๆ จนออกจากโรงพยาบาลมารักษาตัวอยู่ที่บ้าน ฝ่ายสามีก็ยังไม่บอกข่าวร้ายเรื่องลูกชายได้เสียชีวิตไปแล้ว ผู้เขียนแนะนำให้ฝ่ายสามีบอกกับภรรยาว่า ลูกชายมีอาการอ้วนและมีโรคประจำตัวด้วย ทำให้การรักษายากกว่าคนอื่น ทีมแพทย์พยายามรักษาอย่างเต็มที่อยู่ และให้เขาบอกแก่ภรรยาว่าลูกมีอาการแย่ลงเป็นระยะๆ เพื่อให้คุณแม่ได้มีโอกาสเตรียมใจเผื่อไว้รับทราบข่าวร้าย จนในที่สุด จึงบอกว่าลูกชายได้เสียชีวิตจากเราไปแล้ว การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปมักจะทำให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่เสียศูนย์ วิธีการแจ้งข่าวร้ายที่เหมาะสมที่สุดคือค่อยๆบอกเขาให้รับรู้ถึงอาการหรือสิ่งที่แย่ลงเรื่อยๆเพื่อเตรียมใจรับการจากไปในที่สุด เพราะการที่คนเราค่อยๆรับรู้ถึงการสูญเสียทีละนิดๆ เป็นระยะๆนั้นจะทำให้ทำใจรับได้กับการสูญเสีย เช่นครอบครัวที่มีผู้ป่วยติดเตียงอยู่ที่บ้านเมื่อต้องดูแลกันนานเป็นปีๆแล้วอาการค่อยแย่ลงเรื่อยๆจะทำให้ญาติและผู้ดูแลทำใจได้และไม่เสียศูนย์เมื่อต้องสูญเสีย ตรงกันข้ามกับการสูญเสียแบบเฉียบพลันเช่น คนที่เรารักเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตกระทันหันอย่างนี้มักจะเป็นการสูญเสียที่ทำให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่เสียสูญไปได้ หลักการช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในภาวะสูญเสียมิให้เสียศูนย์มีวิธีการดังต่อไปนี้ ภาพจาก : silviarita /pixabay 1)อยู่เป็นเพื่อนอย่างใกล้ชิด เปิดโอกาสให้ผู้ที่อยู่ในภาวะสูญเสียได้ร้องไห้ได้ระบายความรู้สึกที่รู้สึกสูญเสียเศร้าโศกออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ขัดขวางและตำหนิติเตียน การเปิดโอกาสให้ผู้ที่สูญเสียได้สัมผัสอารมณ์ความรู้สึกของความสูญเสียนี้จะทำให้เขาได้เรียนรู้ความรู้สึกสูญเสียในฐานะความเป็นมนุษย์ที่ต้องมีโอกาสได้พบเจอสิ่งเหล่านี้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องอยู่เป็นเพื่อนอย่างใกล้ชิดนั่นเอง 2)ชวนให้เขาเห็นสายสัมพันธ์ที่ยังเหลืออยู่ สืบเนื่องจากข้อหนึ่งเมื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่อยู่ในภาวะสูญเสียได้ระบายความรู้สึกออกมาอย่างท่วมท้นแล้ว ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดพึงจับมือหรือโอบกอดให้เหมาะสมกับระดับความสัมพันธ์ จากนั้นควรชี้ชวนให้เขาเห็นว่าเขายังเหลือใครอยู่อีกบ้างที่เป็นบุคคลอันเป็นที่รักและเป็นสายสัมพันธ์ที่เกื้อหนุนต่อกัน เพราะจะทำให้ผู้ที่สูญเสียยังรู้สึกว่ายังมีบุคคลที่รักหลงเหลืออยู่ เช่น เคยมีแม่กับลูกสาวคู่หนึ่งที่เสียใจเพราะว่าลูกชายเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่แม่รักมาก เมื่อแม่ทราบว่าลูกชายฆ่าตัวตายจึงร้องห่มร้องไห้โวยวายจะฆ่าตัวตายตามและชวนลูกสาวฆ่าตัวตายตามพี่ชาย แต่ลูกสาวตั้งสติได้จึงพูดกับแม่ด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจริงจังว่า “แม่ยังเหลือลูกสาวอีกคนหนึ่งนะคะแล้วแม่ไม่รักหนูหรืออย่างไรคะ แม่ยังเหลือหนูอีกคนนึงนะคะ เราจะตายตามไปทำไมเราต้องอยู่ด้วยกัน” คำพูดนั้นทำให้ฝ่ายแม่ได้สติขึ้นมา นี้ก็คือการชี้ให้เห็นบุคคลอันเป็นที่รักและสายสัมพันธ์ที่ยังเหลืออยู่นั่นเอง 3)ชวนผู้ที่สูญเสียสำรวจความรู้สึก(feelings)ของตนเอง การจะทำในข้อนี้ควรทำในภาวะที่ผู้สูญเสียมีอารมณ์สงบแล้ว และผู้ที่ดูแลใกล้ชิดด้วยความเป็นมิตรและความจริงใจพึงถามเขาไปว่า เขารู้สึกอย่างไรต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และความรู้สึกนั้นส่งผลกระทบต่อจิตใจร่างกายและความสัมพันธ์อะไรบ้าง การกระทำเช่นนี้จะช่วยให้ผู้ที่สูญเสียได้เรียนรู้ความรู้สึกของความเป็นมนุษย์และเห็นผลกระทบที่เกิดกับตนได้ ซึ่งจะช่วยพัฒนาอารมณ์ความรู้สึกของผู้ที่อยู่ในภาวะสูญเสียให้เรียนรู้ปรับตัวและเข้มแข็งขึ้นมาได้ 4)ชวนผู้ที่สูญเสียสำรวจความคิดและมุมมอง(perceptions)ต่อเหตุการณ์ การกระทำในข้อนี้พึงต้องทำในภาวะที่ผู้สูญเสียมีอารมณ์สงบแล้วเช่นกัน การถามถึงความคิดและมุมมองต่างๆต่อเหตุการณ์ที่สูญเสียทั้งต่อตนเองผู้อื่นและสิ่งแวดล้อมและผลกระทบจากความคิดนั้นๆว่าเป็นอย่างไร จะช่วยให้ผู้ที่สูญเสียได้ทบทวนความคิดและเรียนรู้ยิ่งขึ้น ขั้นตอนนี้หากผู้สูญเสียมีความคิดในด้านลบ ผู้ให้การช่วยเหลือพึงต้องชี้ชวนให้เขาเห็นโอกาส ความหวัง คุณค่าและความหมายดีๆในชีวิตที่ยังมีอยู่ กระทั่งอาจชวนให้ความหมายใหม่แก่ชีวิต เช่นมีชีวิตอยู่เพื่อเลี้ยงดูลูกอีกคนที่ยังเหลืออยู่ มีชีวิตอยู่เพื่อทำความดีอุทิศส่วนกุศลให้ลูกที่เสียชีวิตไปแล้ว หรือจัดตั้งองค์กรการกุศลช่วยเหลือสังคมจากเหตุการณ์ที่ตนเองสูญเสีย เป็นเต้น ภาพจาก : pixel2013 /pixabay 5)ชวนผู้ที่สูญเสียให้มีชีวิตอยู่อย่างมีความหวัง การชี้ชวนให้ผู้ที่สูญเสียมีชีวิตอยู่อย่างมีความหวังนี้ เป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่จะช่วยเหนี่ยวรั้งใจของผู้ที่สูญเสียให้เข้มแข็งขึ้นมาได้ คำว่าความหวัง(hope)เป็นความรู้สึกลึกๆที่มีพลังและสัมพันธ์กับบางสิ่งบางอย่างทั้งสิ่งที่จับต้องได้และสิ่งที่เป็นนามธรรมเช่นพระผู้เป็นเจ้า ความหวังเป็นเสมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์โมงนั่นเอง ดังเช่นผู้สูงอายุคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่ามีชีวิตอยู่อย่างมีความหวังว่า ทุกๆปีในวันผู้สูงอายุและวันครอบครัวลูกหลานที่ไปทำงานอยู่ต่างจังหวัดจะกลับมารวมตัวและอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากัน ความหวังต่างจากความคาดหวัง(expectations)เพราะความคาดหวังจะมีมิติของความต้องการที่มีเป้าหมายชัดเจนและหนักอึ้งในจิตใจได้ ดังนั้นการชี้ชวนให้อยู่อย่างมีความหวังจึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ผู้ที่สูญเสียเกิดพลังใจและอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปนั่นเอง ดังนั้นหากท่านใดที่เผชิญกับความสูญเสียหรือต้องดูแลผู้ที่อยู่ในภาวะสูญเสีย หากใช้หลักการทั้งห้าข้อดังกล่าวมารับมือช่วยเหลือกันด้วยความจริงจังจริงใจ ก็จะช่วยทำให้ชีวิตอยู่อย่างมีความหมายมีความหวังและมีพลังใจจะเป็นการสูญเสียที่ไม่เสียศูนย์นั่นเองภาพปก : kordi_vahle /pixabay รศ.ดร.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์ นักวิชาการสื่อสารสุขภาพจิตและศาสนาปรัชญานักเขียนสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,มติชน,อมรินทร์ธรรมะ,ซีเอ็ด,ดีเอ็มจีและวิชบุ๊คประธานสถาบันพัฒนาบุคลากรwuttipong academy ,ไอดีไลน์ac6555 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !