มาพูดถึงการลดน้ำหนักกันต่อ หลาย ๆ คนท้อกับการลดน้ำหนัก โดยเฉพาะคนที่มีน้ำหนักมาก แต่ขณะเดียวกัน ถ้าเราเข้าไปดูใน youtube ก็จะมีคนที่มีน้ำหนักมาก ๆ สามารถลดได้เหมือนกลายเป็นคนละคน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงได้มากที่สุดก็ คือ "จุดเปลี่ยนของชีวิต" บางคนมาในด้านบวก เช่น มีแฟน จะไปออกงาน ได้ทำงานที่ต้องใช้บุคลิก เห็นเพื่อนทำได้ ฯลฯ หรือจะเป็นด้านลบ เช่น ถูกล้อ ถูกท้า ท้อแท้ ถูกห้ามทาน รู้สึกอึดอัด อายเพื่อน ฯลฯ ซึ่งแต่ละคนมีจุดเปลี่ยนหรือแรงบันดาลใจที่ต่างกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การมีน้ำหนักที่สมดุลก็มีความสำคัญต่อสุขภาพและร่างกายเสมอ เรามาเรียนรู้หลักการของน้ำหนักที่ขึ้นลงกันว่าเป็นอย่างไรกันนะ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าผู้เขียนไม่ใช่หมอ เทรนเนอร์ นักกีฬา หรือผู้เชี่ยวชาญในการลดน้ำหนักแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นคนที่เคยลดน้ำหนักได้ด้วยวิธีง่าย ๆ สามารถทำกันได้ โดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบออกกำลังกายด้วยก็สามารถทำได้ เพียงแค่เข้าใจหลักการเพื่อจะได้ต่อยอดได้หลังจากที่ได้ลงมือปฏิบัติจนเกิดการเปลี่ยนแปลง คือ น้ำหนักลดลงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งปฏิบัติการลดน้ำหนักไปด้วย ศึกษาข้อมูลเรื่องพลังงานกิโลแคลอรี่ไปด้วยยิ่งจะทำให้เรารู้ว่าอะไรควรลด ควรงด หรืออะไรที่กินเยอะได้ ส่วนตัวเป็นคนกินเยอะครับ สนุกกับการกิน กินได้เกือบทุกอย่าง แต่เป็นคนไม่ดื่มแอลกอฮอล์ และไม่ชอบออกกำลังกายในรูปแบบ แต่ชอบเดินและกิจกรรมเคลื่อนไหวมากกว่า เคยมีครั้งหนึ่งที่เพื่อนรุ่นน้องบอกว่า "พี่ไม่ต้องกลัวเป็นโรคตับแข็งหรอก แต่ต้องระวังเป็นโรคเบาหวานแทน" ฟังดูเหมือนตลก แต่จริง ๆ แล้วเป็นคำเตือนที่ดีมาก ตั้งแต่นั้นมาผมก็เริ่มกลัวน้ำหวานมากขึ้น แต่ก็ยังมีบ้างไม่ใช่ว่างดเลย แต่ช่วงที่ลดน้ำหนักจริงจัง 2 เดือนสามารถลดได้ 10 กิโลกรัมก็งดได้เด็ดขาดจริง ๆ ผมชอบกินอะไรที่เพิ่มน้ำหนักได้ง่าย ไม่ว่าผัดกะเพราหมูกรอบ ผัดซีอิ๊ว ผัดไทย แกงเขียวหวาน เต้าส่วน ไข่เจียว ไส้กรอก ลูกชิ้นทอด หรืออะไรก็ได้ที่เป็นของผัดของทอดไม่เคยรู้ไม่เคยสนใจมาก่อนว่าเป็นอาหารที่มีแคลอรี่สูง ใช้ภาษาง่าย ๆ คือ อาหารที่ทำให้น้ำหนักขึ้นง่าย อีกทั้งตอนที่คิดจะลดน้ำหนักอย่างจริงจังและสำเร็จได้จริงถึงใน 2 เดือนลดได้ถึง 10 กิโลกรัมนั้น เคยคิดว่าคงลดไม่ได้แล้ว เพราะอายุเยอะแล้ว (38 ปี) และไม่ชอบออกกำลังกายด้วย ถึงได้เดือนละ 1 กิโลกรัมก็เก่งแล้ว แต่พอมีแรงบันดาลใจและมีความตั้งใจ มีวินัยให้มากที่สุด ยอมลดในวันนั้นเพื่อสุขภาพและบุคลิกที่ดีในอนาคต ก็เลยสามารถทำได้จริง ๆ จนเพื่อน ๆ มาทักว่าไม่สบายหรือเปล่า ตอนแรกเราก็แค่รู้ว่าน้ำหนักลดลงจริง พอมาเห็นรูปถ่ายถึงรู้ว่าผอมลงมากจนตกใจตัวเอง หลักการที่ควรรู้ง่าย ๆ ก็คือ ร่างกายคนเรารับพลังงานในแต่ละวันไม่เท่ากัน ถ้าเกินเกณฑ์น้ำหนักก็ขึ้น เกณฑ์ที่ว่าก็คือกิโลแคลอรี่ที่เป็นหน่วยเรียกพลังงานอาหารที่เข้าสู่ร่างกาย สามารถดูได้จากรายการสินค้าว่ามีเท่าไหร่ เราก็สามารถคำนวณปริมาณพลังงานสิ่งที่เรานำเข้าตัวแต่ละวันได้ หรือจะโหลดแอพที่มีการคำนวณแคลอรี่ให้ก็ยิ่งทำให้เรารู้ตัวว่ารับเข้ามาเกิน พอดี หรือขาดในแต่ละวัน สำหรับผู้ชายให้เลขกลม ๆ ที่ 2000 กิโลแคลอรี่ต่อวัน ส่วนผู้หญิงให้เลขกลม ๆ ที่ 1500 กิโลแคลอรี่ต่อวัน น้อยกว่าผู้ชายหน่อย (ผู้หญิงต้องกินน้อยกว่าเพราะใช้แรงน้อยกว่าตามสรีระ) ถ้าเราใช้พลังงานในแต่ละวันมากกว่าตัวเลขนั้นเราก็จะลดน้ำหนักได้ หรือรับมาแต่ละวันน้อยกว่าตัวเลขนั้น เราก็ต้องดึงพลังงานที่เป็นส่วนเกินในร่างกายมาใช้เป็นกล้ามเนื้อแทนได้เช่นกัน การออกกำลังกายควบคู่กับการลดน้ำหนักก็เป็นสิ่งที่ทำได้ แต่ผู้เขียนใช้วิธีลดน้ำหนักด้วยการลดพฤติกรรมการกินก่อน เมื่อลดได้แล้วค่อยออกกำลังกาย อาหารที่ควรลดก็มีของมันของทอด ของหวาน น้ำหวาน ขนมกินเล่น ผลไม้มีรสหวานจัด ของเค็ม เป็นหลัก แต่ใครที่คิดจะออกกำลังกายไปด้วยระหว่างลดน้ำหนักก็ต้องมีความเข้มแข็งให้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะอาหารที่เรารับเข้าไปในแต่ละวัน นอกจากจะหล่อเลี้ยงให้เรามีแรงในการดำเนินชีวิตแล้ว ถ้าต้องออกกำลังกายด้วยก็จะต้องใช้พลังงานมากขึ้นอีกเท่าตัว ถ้าใครที่ลดอาหารใหม่ ๆ คือ กินให้น้อยลง ข้าวสวยแต่ละมื้อแค่ 1 ทัพพี ผสมกับกับข้าวอีกอย่างละหน่อยทั้ง 3 มื้อทั้งเช้า กลางวัน และเย็น (ช่วงเย็นไม่ควรเกิน 2ทุ่ม และให้ยืนสัก 10-15 นาทีก่อนนั่งจะดีมากเพราะอาหารจะได้ย่อยเร็วขึ้นเพราะต้องใช้พลังงานจากการยืน) ถ้าปรับตัวได้แล้วสัก 2 อาทิตย์หรือ 1 เดือน แล้วค่อยมาออกกำลังกายควบคู่จะได้ผลกว่า การออกกำลังกายก็ไม่ควรหักโหมจนเกินไป หรือเลี่ยงการเล่นกีฬาหนักไปก่อน ออกกำลังกายแบบกายบริหาร วิ่ง กระโดดเชือก โยคะ หรือเดินเร็ว ๆ จะดีกว่า เพราะการใช้พลังงานมาก ความหิวก็จะตามมามากเช่นกัน การดื่มน้ำมาก ๆ ก็ช่วยได้ ขอแค่อย่ายอมแพ้ เพราะเมื่อไหร่ที่เรานำอาหารเข้าปาก การหักห้ามใจกินแค่น้อย ๆ จะยากมาก ดังนั้นต้องบังคับตัวเองให้ได้ว่ากินให้เป็นเวลาและปริมาณเท่าที่กำหนดไว้เท่านั้นพอ ที่สำคัญแบบบันทึกการลดน้ำหนักจำเป็นต้องทำไว้ในหน้าเดียวใช้ทั้งเดือน เพื่อจะได้ทบทวนและบันทึกในแต่ละวันได้ ถ้าวันไหนเราผิดกฏที่ตั้งไว้ก็ให้เริ่มใหม่แต่อย่าผิดเกิน 2 วันต่อกันเพราะเท่ากับเราต้องบวกวันต่อเนื่องเพิ่มขึ้นอีก ที่สำคัญกระดาษใบเดียวที่ใช้บันทึกการลดน้ำหนักจะคอยย้ำเตือนความตั้งใจของเราและเป็นหลักฐานว่าเราทำได้จริง ๆ แบบบันทึกจะเขียนขึ้นมาหรือพิมพ์แล้วปริ้นท์ออกมาติดผนังห้อง จะได้เห็นชัดเจน เห็นภาพรวมของการลดน้ำหนักได้ทุกวัน หากเดือนแรกยังไม่ได้ ก็เริ่มต้นใหม่ได้อีกจนกว่าจะสำเร็จ ขอแค่เราอย่าเพิ่งยอมแพ้ก็พอ แต่หลักการก็คือหลักการ ในความเป็นจริงก็ขึ้นอยู่กับรายบุคคลว่าจะสามารถเป็นไปได้มากหรือน้อย เพราะแต่ละคนมีระบบเผาผลาญไม่เท่ากัน บางคนกินเยอะแต่ไม่อ้วน น้ำหนักไม่เพิ่มก็มี บางคนกินเล็กน้อยน้ำหนักเพิ่มเร็วก็มี บางคนน้ำหนักคงที่ตลอดก็มี แต่คนที่อยากจะลดน้ำหนักก็ต้องหาวิธีเพื่อลดให้ได้ สรุปง่าย ๆ เกี่ยวกับการเพิ่มหรือลดน้ำหนักก็อยู่ที่พฤติกรรมการกินและการใช้พลังงานออกไปในแต่ละวัน อยากลดน้ำหนักก็แค่รับพลังงานอาหารเข้ามาให้น้อยกว่าพลังงานที่ควรได้รับในแต่ละวันตามเพศ บางคนต้องใช้ความพยายามมากหน่อยเพราะการลดน้ำหนักได้มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับเพศ อายุ ระบบการเผาผลาญ พฤติกรรมการใช้ชีวิต ตลอดจนการดื่มน้ำและการพักผ่อนที่เพียงพออีกด้วย ที่สำคัญระหว่างที่ทำการลดน้ำหนักไม่ควรเครียดเพราะน้ำหนักลงช้า แต่ควรทำไปเรื่อย ๆ เท่าที่ไหว ไม่เยอะเกินเพราะอาจจะรู้สึกท้อได้ ขอให้ทำอย่างมีความสุข วันละนิดวันละหน่อยดีกว่า เพราะร่างกายก็ต้องการความสมดุลอยู่เสมอ เหมือนคำพระว่า "เดินทางสายกลาง" ร่างกายกับจิตใจก็จะไปด้วยกันได้เสมอเพราะสุดท้ายก็คือตัวของเราที่ต้องดูแลทุก ๆ วัน ภาพปก โดยผู้เขียน และขอบคุณแอพ canva ช่วยตกแต่งภาพให้สวยงามภาพประกอบที่ 1-6 โดยผู้เขียน🩺 อัปเดตเทรนด์สุขภาพและการออกกําลังกายใหม่ๆได้ก่อนใครที่คอมมูนิตี้ TrueID Community ได้เล้ย 🏃🏻♀️✨อัปเดตข่าว ดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี!