ย้อนกลับไปเมื่อครั้งลูกชายของผู้เขียนลืมดูโลกได้เพียงสองเดือนกว่า ผู้เขียนพาน้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ พร้อมด้วยหลานสองคนเพราะผู้เขียนต้องทำงานจึงพาหลานมาด้วยเพื่อดูแลน้องในช่วงกลางวัน มาอยู่กรุงเทพฯ ได้สองวันน้องก็ป่วยคงจะเป็นเพราะเด็กอ่อนไม่มีภูมิต้านทาน อาการของน้องคือ มีน้ำมูก และไอ แต่ด้วยความร่าเริงของน้องที่ยังยิ้มได้ และพูดอ้อแอ้ตามประสาเด็กสองเดือนกว่า ทำให้ผู้เขียนไม่ได้ตกใจมากนักกับอาการป่วย หลังจากนั้นสองถึงสามวันเห็นน้องยังไออยู่ และด้วยความที่เป็นคุณแม่มือใหม่ จึงซื้อยาแก้ไข้ที่ร้านยามาให้น้องกิน เภสัชกรไม่มีคำแนะนำอื่น ๆ นอกจากเรื่องการป้อนยา พอมาถึงห้องพักผู้เขียนป้อนยาน้องทันที และทันทีที่ยาเข้าปาก น้องก็อาเจียนออกมาทันที นั่นคงเป็นเพราะ ลิ้นของเด็กแรกเกิดไม่ชิ้นกับรสชาติอย่างอื่นนอกจากนม น้องมีอาการตัวร้อน และไอหนักขึ้น ต้องยอมรับว่าตอนนั้นไม่กล้าพาน้องไปหาหมอเพราะกลัวว่าค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลในกรุงเทพฯจะแพงจนไม่มีเงินจ่าย เพราะตัวผู้เขียนเองพึ่งกลับมาทำงานหลังจากลาคลอดไป 2 เดือน จึงไม่มีเงินสำรองมากนัก ผ่านไป 1 คืนแล้ว น้องยังตัวร้อนและไอเพิ่มขึ้น ขอบคุณภาพประกอบจาก https://pixabay.com/ เช้านี้เป็นเช้าวันจันทร์ ผู้เขียนทิ้งน้องไว้กับพี่เลี้ยงสองคนแล้วไปทำงาน พอเลิกงานกลับมาดูอาการน้องยังไม่ดีขึ้นและดูท่าจะหนักกว่าเดิม ผู้เขียนตัดสินใจพาน้องไปโรงพยาบาลของรัฐที่ใกล้ที่สุด เมื่อไปถึงโรงพยาบาล คุณหมอตรวจอาการแล้วทำเอาผู้เขียนเองแทบช็อค "ถ้าคุณพาน้องมาช้ากว่านี้อีกนิดเดียวน้องอาจถึงตาย" คำพูดของหมอทำเอาผู้เป็นแม่ใจหายใจคว่ำ "นี่เราเกือบฆ่าลูกด้วยมือเราเองเลยเหรอ" ได้แต่นึกโทษตัวเองในใจ ขอบคุณภาพประกอบจาก https://pixabay.com/ คุณหมอตรวจอาการน้องแล้วให้แอดมิด เพราะน้องมีอาการไอหนัก มีน้ำมูกและหลอดลมตีบ และผลจากการเอ็กซ์เรย์ คุณหมอบอกว่า ปอดของน้องช้ำมาก เพราะไอติดกันมาหลายวัน คืนนั้นเตียงนอนผู้ป่วยเด็กไม่ว่าง คุณหมอจึงให้แอดมิดแต่ต้องอุ้มน้องไว้ทั้งคืน หมอให้พ่นยาขยายหลอดลมตลอดเวลา เพื่อช่วยให้น้องหายใจได้ ตี 3 แล้วหลานสาวสองคนรออยู่ด้านนอก ยังไม่ได้กินอะไร จะเดินออกไปก็ไม่ได้ เพราะน้องต้องอยู่ในการควบคุมของหมอ หัวใจของแม่เวลานี้มันเต็มไปด้วยความกลัวและความรู้สึกผิด แม่ไม่น่าหอบน้องมาจากต่างจังหวัดเลย ด้วยอายุเพียงแค่นี้จะไปทนทานอะไรกับสภาพอากาศ ขนาดเราเป็นผู้ใหญ่บางครั้งก็ป่วยเหมือนกันหากต้องเดินทาง เช้าของอีกวันคุณหมอย้ายน้องขึ้นไปห้องผู้ป่วย และให้นอนที่โรงพยาบาลจนกว่าจะหายดี ครั้งนั้น น้องนอนอยู่เจ็ดวัน แม่ต้องลางานเพื่อเฝ้าไข้ วันออกจากโรงพยาบาลคุณหมอคิดค่าใช้จ่ายทั้งหมด 480 บาท แบ่งเป็น ค่ารักษาพยาบาล 30 บาท อีก 450 บาทนั้นเป็นค่าเอ็กซเรย์ พึ่งรู้ว่าคนต่างจังหวัดอย่างเรามีสิทธิ์ใช้ 30 บาทรักษาทุกโรคข้ามเขตได้ ค่ารักษาพยาบาลที่เรากลัวว่าจะแพงเป็นหมื่น ๆ จนไม่กล้าพาลูกไปหาหมอตั้งแต่แรกนั้นไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด ขอบคุณภาพประกอบจาก https://pixabay.com/ ประสบการณ์ครั้งนี้ สอนเราว่าอย่ามัวคิดแต่เรื่องเงินจนเกินไป เพราะชีวิตของคนที่เรารักมีค่ามากกว่าราคาที่ต้องจ่าย หากเกิดพลาดพลั้งอะไร มันไม่คุ้มกันเลยจริง ๆ ขอบคุณภาพประกอบจาก https://pixabay.com/ ขอบคุณภาพปกจาก https://pixabay.com/