สำนึกผิดจิตแห่งสำนึกรู้คุณ (บทความสุขภาพจิต) ครั้งหนึ่ผู้เขียนได้รับเชิญไปเป็นคณะกรรมการตัดสินการประกวดนางงามในห้างสรรพสินค้าชั้นนำแห่งหนึ่ง เวลาจัดประกวดคือ 13:00 น. เนื่องจากเป็นวันหยุดราชการจึงเป็นเหตุให้ที่จอดรถของห้างมีรถจอดเต็มทุกชั้นทุกช่อง ผู้เขียนขับรถวนหลายรอบก็ยังไม่มีที่ว่างให้จอด และตอนนั้นก็เป็นเวลาเกือบจะเริ่มประกวดแล้ว ผู้เขียนจึงตัดสินใจจอดรถขวางหน้ารถคันอื่นที่จอดอยู่ตามช่องต่างๆ ความจริงทางห้างก็อนุญาตให้จอดในลักษณะนี้ได้แต่ต้องปลดเกียร์ว่างและเบรกมือให้เรียบร้อย เพื่อให้พนักงานรักษาความปลอดภัยหรือคนอื่นๆสามารถเข็นรถให้เลื่อนไปได้หากจะมีรถคันอื่นขับออกจากบริเวณนั้น ผู้เขียนคิดว่าตนเองได้ปลดเกียร์ว่างเรียบร้อยแล้วจึงรีบเดินเข้าห้างไปทันทีเพื่อทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการตัดสิน เวลา 17:00 น. เมื่อการประกวดเสร็จสิ้นแล้ว ผู้เขียนเดินออกจากที่จัดงานภายในห้างสรรพสินค้ามายังบริเวณลานจอดรถก็สังเกตเห็นได้แต่ไกลว่า พนักงานรักษาความปลอดภัยกำลังพยายามช่วยรถอีกสองคันให้ถอยเฉียงออกจากที่จอดรถให้ได้ นั่นเป็นเพราะผู้เขียนจอดรถขวางเอาไว้โดยไม่ปลดเกี่ยวว่างนั่นเอง แว็บ!แรกที่เห็นนั้น ผู้เขียนตกใจมากทั้งยังรู้สึกผิด(guilty feeling)อย่างที่สุดที่ลืมปลดเกียร์ว่างไว้ เมื่อผู้เขียนเดินมาถึงที่เกิดเหตุ พนักงานรักษาความปลอดภัยก็เริ่มจ้องมองผู้เขียนด้วยสายตาที่ดุดันพร้อมจะต่อว่าอย่างรุนแรง ในวินาทีนั้นเอง ผู้เขียนได้ยกมือไหว้พร้อมก้มศรีษะลงแล้วพูดว่า “ผมขอโทษครับผมลืมปลดเกียร์ว่าง ผมขอโทษจริงๆ และเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อครู่ผมรีบมากจนเกินไป ได้แต่ปลดเฉพาะเบรกมือแต่ลืมปลดเกียร์ว่างครับ และผมขอชื่นชมและขอบคุณคุณมากนะครับที่กรุณาแก้ปัญหาที่ผมเป็นคนก่อขึ้นด้วยการพยายามช่วยให้รถคันอื่นทยอยออกไปให้ได้ คุณได้ทำหน้าที่ของคุณเป็นอย่างดี ผมขอโทษจริงๆครับ และขอบคุณและชื่นชมคุณมากๆครับ” ทันใดนั้น พนักงานรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนสีหน้าทันทีจากบึ้งตึงกลายเป็นมิตรมากขึ้นเขาอมยิ้มให้ผู้เขียนแล้วบอกว่า “ไม่เป็นไรครับ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่ผมอยากจะบอกว่า ตั้งแต่ผมมาทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่ที่นี่ คุณเป็นลูกค้าคนแรกในรอบสองปีที่ยกมือไหว้ ขอโทษ ขอบคุณและก็ชื่นชมที่ผมช่วยแก้ปัญหาให้ ผมรู้สึกยินดีและรู้สึกชื่นชมคุณเช่นกันครับ” การที่ผู้เขียนยกมือไหว้ขอโทษพนักงานรักษาความปลอดภัยคนดังกล่าวนั้น ก็ด้วยการสำนึกรู้คุณในพนักงานรักษาความปลอดภัยนั่นเอง จึงนำมาสู่การสำนึกผิดที่ตนเองลืมปลดเกียร์ว่าง การสำนึกผิดนั้นต้องสำนึกออกมาจากจิตใจ ซึ่งเป็นเรื่องของความรับผิดชอบอย่างยิ่งยวด ที่ต้องฝึกฝนกันมาแต่เด็ก และเมื่อทำผิดแล้วก็ต้องกล่าวคำว่า ขอโทษ พร้อมแสดงกิริยานอบน้อม อันเป็นลักษณะของความฉลาดทางอารมณ์และความฉลาดทางสังคมอย่างหนึ่ง นอกจากนั้นการสำนึกผิดยังถือเป็นการแสดงออกถึงความเกรงกลัวและละอายต่อบาปอีกด้วย การที่ผู้เขียนทำเช่นนี้ได้ก็ด้วยเริ่มจากการสำนึกรู้คุณในพนักงานรักษาความปลอดภัย ว่าเขามีคุณค่าในตนเองในความเป็นมนุษย์และได้พยายามทำหน้าที่ของเขาอย่างเต็มที่ เมื่อความรู้สึกสำนึกรู้คุณในตัวเขาปรากฏเด่นชัดขึ้นในใจจึงเป็นที่มาของการสำนึกผิดในที่สุด อีกทั้งเมื่อผู้เขียนได้แสดงความนอบน้อมต่อพนักงานรักษาความปลอดภัยคนดังกล่าวแล้ว ก็เท่ากับว่าผู้เขียนได้ทำบุญด้วยความนอบน้อมหรือ อปจายนมัย ซึ่งก็ทำให้ผู้เขียนได้รับผลบุญตอบกลับมาทันที นั่นคือพนักงานรักษาความปลอดภัยผู้นั้นเปลี่ยนสีหน้าท่าทีจากศัตรูกลายเป็นมิตรมีรอยยิ้มและชื่นชมกลับและให้อภัย ซึ่งนำมาสู่ความรู้สึกปิติยินดีต่อกันทั้งคู่นั่นเอง การที่คนทำผิดแล้วรู้สึกสำนึกผิดนั้นนับเป็นผู้ที่มีคุณธรรมในระดับสูง เพราะทันทีที่สำนึกผิดและกล้ารับผิดได้นั้น ในทางจิตวิทยาจะทำให้คนคนนั้นรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยด้อยค่าลงไป แต่คนที่ยอมให้ตนเองรู้สึกด้อยค่าเพื่อเชิดชูคุณค่าของผู้อื่นขึ้นด้วยการยกมือไหว้และกล่าวขอโทษนั้นย่อมมิใช่ธรรมดา แต่เป็นคนที่ต้องก้าวข้ามอัตตาตัวตนของตนเองได้ในระดับหนึ่งแล้ว ทั้งยังมองเห็นคุณค่าและประโยชน์ของผู้อื่นอีกด้วย และนี่คือที่มาของจิตสำนึกสาธารณะที่มักจะนิยมพูดกันให้สวยหรูแต่ทำกันไม่ค่อยได้ เพราะยังยึดติดในตัวตนและประโยชน์แห่งตนอยู่นั่นเอง สังคมทุกวันนี้หลายคนทำผิดแต่กลับไม่ยอมสำนึกผิดทั้งยังหลงผิดมีอัตตาสูงคิดว่าตัวเองนั้นถูกต้อง ทำให้กล่าวคำขอโทษและยกมือไหว้ขอบคุณและชื่นชมใครไม่เป็น โดยเฉพาะต่อผู้ที่มีสถานะทางสังคมต่ำต้อยกว่าตน เพราะขาดการสำนึกรู้คุณในผู้อื่นนั่นเอง จนเกิดเป็นความขัดแย้งต่อกันทั้งในระดับบุคคลและสังคมโดยรวม เฉกเช่นนักการเมืองบางประเทศที่มักจะอ้างแต่ความถูกต้องตามกฎเกณฑ์จากวิธีการที่ได้รับเลือกเข้ามาในสภา แต่ไม่เคยสำนึกผิดว่าวิธีการเบื้องหลังของการได้เข้ามา นั้นมาจากการซื้อเสียงและข่มขู่คู่ต่อสู้ทุกวิถีทางซึ่งถือเป็นจิตที่ไร้การสำนึกรู้คุณผู้อื่น ไร้คุณธรรม ไร้ความรับผิดชอบ ที่สำคัญคือไร้ความสำนึกผิดเกรงกลัวและอายต่อบาปนั่นเอง ปัญหาการผิดศีลทุกอย่างในสังคมทุกวันนี้ เช่น การพูดเท็จ การลักขโมย การเบียดเบียนผู้อื่น ล้วนเกิดจากการเห็นแก่ตัวและไม่สำนึกรู้คุณค่าของผู้อื่น และไม่ตระหนักว่าเมื่อเบียดเบียนผู้อื่นแล้วเขาจะเดือดร้อนอย่างไร เพราะเกิดมาก็เห็นแก่ตัวมาโดยสัญชาตญาณแล้ว และไม่ได้รับการอบรมบ่มเพาะให้รู้จักสำนึกรู้คุณของตนเองและผู้อื่นอีกต่างหาก จึงมีชีวิตอยู่ด้วยสัญชาตญาณตน คือรักตัว กลัวตาย กลัวอาย กลัวอด กลัวคนอื่นได้ดีแต่เพียงอย่างเดียว จึงขาดการสำนึกรู้คุณในผู้อื่น เป็นเหตุให้ทำผิดคิดร้ายต่อผู้อื่น ไม่เกรงกลัวและละอายต่อบาปนั่นเอง การจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ ทุกคนจะต้องเริ่มจากฝึกสำนึกเห็นคุณค่าของผู้อื่นหรือสำนึกรู้คุณ เพราะการสำนึกรู้คุณจะส่งผลดีตามมาอีก 10 อย่าง นั่นคือทำให้บุคคลมี รอยยิ้ม ชื่นชม ขอบคุณ สำนึกผิด ขอโทษ ให้อภัย ไว้วางใจ ผูกพัน มองกันในด้านดี และทั้งหมดนี้คือคุณธรรมสากล ที่จะทำให้เกิดสังคมแห่งสันติสุขโดยทั่วกัน ทุกๆวันเราได้ฝึกสำนึกรู้คุณของตนเองและผู้อื่นโดยถ้วนหน้ากันแล้วหรือยัง ภาพปกจาก : BarbaraAlane / pixabay ภาพที่1จาก: lorilynnoliver /pixabay ภาพที่2จาก: PublicDomainPictures /pixabay ภาพที่3จาก: Utility_lnc /pixabay ภาพที่4จาก:ผู้เขียน รศ.ดร.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์ นักวิชาการสื่อสารสุขภาพจิตและศาสนาปรัชญา นักเขียนสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,มติชน,อมรินทร์ธรรมะ,ซีเอ็ด,ดีเอ็มจีและวิชบุ๊ค ประธานสถาบันพัฒนาบุคลากรwuttipong academy เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !