วิธีแก้ไขบุคลิกภาพก้าวร้าวในวัยผู้ใหญ่ “อย่าให้พบนะไอ้…..ถ้าพบจะต่อยให้ฟันร่วงเลย “ นั่นคือชายคนหนึ่งโพสต์ในเฟสบุ๊คของตนเองเพื่อสื่อสารไปถึงชายอีกคนหนึ่ง และชายคนที่โพสต์ยังประกาศรับสมัครทีมงานเพื่อร่วมงานกับตนเองโดยบอกว่าต้องมีคุณสมบัติยิงปืนและต่อยมวยได้ นอกจากนั้นชายคนดังกล่าวยังเคยประกาศท้าตีท้าต่อยกับคนที่ขัดแย้งกับตนเองมาแล้วเป็นประจำอีกด้วย ผู้เขียนพบปรากฏการณ์ดังกล่าวในวัยผู้ใหญ่มากขึ้นในยุคสังคมออนไลน์ แต่ในชีวิตการทำงานด้านสุขภาพจิตที่ผ่านมามักจะพบปรากฏการณ์เช่นนี้ในกลุ่มวัยรุ่นที่เกเรและต้องเข้าไปช่วยกันแก้ไขปัญหาบุคลิกภาพและพฤติกรรมเหล่านั้น แต่สำหรับคนที่โตเป็นผู้ใหญ่คงจะแก้ไขยากแล้วล่ะครับ เว้นเสียแต่ว่าเจ้าตัวจะตระหนักว่าบุคลิกภาพอย่างนั้นส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาต่อตนเองแล้วจึงอยากจะแก้ไขเท่านั้น หรือไม่ก็ถูกดำเนินการจับกุมการกระทำความผิดอะไรบางอย่างแล้วเกิดสำนึกผิดและอยากเปลี่ยนแปลงตนเองขึ้นมา ผู้เขียนกำลังพูดถึงบุคลิกภาพแบบก้าวร้าว(aggressive personality)ซึ่งพบอยู่ในสังคมทั่วไป เป็นบุคลิกภาพแบบหนึ่งที่ยังถือว่าเป็นปรกติและดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ แต่อาจสร้างปัญหาและผลกระทบต่อทั้งตนเองและสังคมได้จากบุคลิกภาพของตน เช่น การข่มขู่ ท้าตี ท้าต่อย ทำร้ายผู้อื่นเล็กๆน้อยๆจนถึงรุนแรง มีเรื่องราวขัดแย้งกับคนนั้นคนนี้บ่อยๆทั้งในที่ทำงานและในสังคม ฝ่าฝืนกฎระเบียบพื้นฐานของหน่วยงานและสังคมจนถึงอาจทำผิดกฎหมายบ้านเมืองและถูกจับกุมนั่นเอง เขาเหล่านั้นยังดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ และพบอยู่ในทุกสาขาอาชีพ บางคนมีความฉลาดทางเชาว์ปัญญาหรือไอคิวสูงจึงเก่งเรียนเก่งงานแต่ความฉลาดทางอารมณ์(EQ)และความฉลาดทางสังคม(SQ)ต่ำ จึงไม่ค่อยมีคนชอบและชื่นชมและสมาคมด้วยเพราะก้าวร้าวและไร้มิตรภาพ ดังนั้นคนอื่นๆจึงหลีกเลี่ยงที่จะคบค้าสมาคมด้วยเพราะกลัวได้รับผลกระทบอันเกิดจากบุคลิกภาพที่ก้าวร้าวของเขานั่นเอง เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเหตุใดจึงเปลี่ยนแปลงยาก ก็เพราะว่าบุคลิกภาพหมายถึงแบบฉบับของพฤติกรรมที่ก่อร่างสร้างตัวตั้งแต่วัยเด็กและพัฒนาการขึ้นในวัยรุ่นจนเป็นรูปแบบที่ชัดเจนถาวรในวัยผู้ใหญ่นั่นเอง ดังนั้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วใครมีบุคลิกภาพแบบใดก็มักจะเป็นแบบนั้นที่ชัดเจนและถาวร แต่อย่างไรก็ดี หากเปิดใจกว้างและพร้อมที่จะพัฒนา การพัฒนาบุคลิกภาพจากผู้เชี่ยวชาญก็สามารถช่วยให้เขาเป็นคนที่มีบุคลิกภาพแบบมั่นคง(stable personality)ได้ยิ่งขึ้น แต่ส่วนใหญ่มักไม่ตระหนักรู้และเข้าสู่กระบวนการพัฒนา มีเพียงบางรายเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ เช่น พบว่าคนอื่นไม่คบค้าสมาคมด้วยหรือถูกจับกุมจากการกระทำความผิดกฎหมายบางอย่างแล้วได้คิดจึงอยากจะเปลี่ยนแปลงตนเอง แต่อย่างไรก็ตามยังพอมีวิธีการที่จะพัฒนาบุคลิกภาพแบบก้าวร้าวให้เป็นปรกติยิ่งขึ้นโดยมีวิธีการดังต่อไปนี้ 1)ฝึกช่วยเหลือผู้อื่น การช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นเป็นความคิดความรู้สึกและพฤติกรรมของผู้ให้ การฝึกช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นจะช่วยให้เกิดความรู้สึกเมตตากรุณาพร้อมทั้งเข้าใจและเห็นใจผู้อื่น และ ยิ่งหากได้พบว่าการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นที่ทุกข์ยากลำบากกว่าตนแล้วเขามีชีวิตที่ดีขึ้น ยิ่งจะทำให้ตนเองเกิดความรู้สึกชื่นใจและช่วยลดความรู้สึกเห็นแก่ตัวและก้าวร้าวลงได้ 2)ฝึกสำนึกรู้คุณผู้อื่น คนที่มีบุคลิกภาพก้าวร้าวมักจะยึดตนเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่าง จึงกล้าที่จะแสดงความก้าวร้าวทั้งความคิด วาจาและการกระทำใส่ผู้อื่น ทั้งนี้เนื่องจากไม่เห็นคุณค่าและไม่เคารพผู้อื่นนั่นเอง ดังนั้นการฝึกใคร่ครวญสำนึกให้รู้คุณค่าหรือคุณงามความดีของผู้อื่นให้มากๆจะส่งผลให้เกิดความรู้สึกที่ดีงามและภูมิใจจะช่วยลดความก้าวร้าวลงได้เรื่อยๆ ทั้งนี้ควรฝึกกล่าวขอบคุณ และ ขอบคุณ ผู้อื่นในทุกสิ่งทุกอย่างอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง 3)ฝึกให้อภัย สืบเนื่องจากข้อสองเมื่อฝึกสำนึกรู้คุณของผู้อื่นให้มากๆแล้ว หากพบว่ามีใครทำผิดพลาดสิ่งใดหรือไม่ถูกใจตนเองก็ให้ฝึกการให้อภัย ด้วยการปล่อยวางความรู้สึกเจ็บแค้นให้เป็นความรู้สึกที่เป็นกลางๆ เพราะการให้อภัยจะช่วยลดความรู้สึกเจ็บแค้นและลดการแสดงความก้าวร้าวออกมาได้เป็นอย่างดี โดยให้นึกถึงคุณงามความดีของคนที่เราโกรธแค้นไว้ให้มากๆจะช่วยลดการแสดงความก้าวร้าวต่อเขาได้ในที่สุด 4)ฝึกเจริญสมาธิ การทำสมาธิคือการทำให้จิตใจสงบ คนที่ก้าวร้าวมักเป็นคนที่จิตใจฟุ้งซ่านมีอารมณ์โกรธแค้นง่าย ดังนั้นการหมั่นเจริญสมาธิอาจด้วยการเจริญอานาปานสติด้วยการตามดูลมหายใจเข้าออกให้สม่ำเสมอเช่น ขณะหายใจเข้าให้นับหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ขณะหายใจออกให้นับห้า สี่ สาม สอง หนึ่งฝึกทำเช่นนี้วันละ20นาที่ขึ้นไป และอีกวิธีหนึ่งเรียกว่าการเจริญอัปปมัญญาสี่ คือการแผ่เมตตาให้ทั้งตนเองและสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างหาประมาณมิได้จะช่วยลดโทสะจริต(ใจร้อน หงุดหงิด ฉุนเฉียว โกรธง่าย ก้าวร้าว)ได้โดยตรง ทั้งนี้วิธีการดังกล่าวเป็นคำสอนจากพระพุทธศาสนาซึ่งใช้ได้ผลเป็นอย่างดี 5)รักษากับจิตแพทย์ หากทำทั้งสี่วิธีดังกล่าวมาแล้วก็ยังพบว่าตนเองมีความหงุดหงิด ฉุนเฉียว ก้าวร้าวอยู่มาก ก็สามารถไปรักษากับจิตแพทย์ด้วยการทำจิตบำบัด พฤติกรรมบำบัดและการใช้ยาทางจิตเวชเพื่อปรับสารเคมีในสมองโดยการลดความเครียดเพิ่มความยับยั้งชั่งใจ ก็จะช่วยลดความคิดและอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวก้าวร้าวลงได้ในที่สุด ดังนั้นหากผู้ที่มีบุคลิกภาพแบบก้าวร้าวตระหนักรู้ตนเองหรือบุคคลใกล้ชิดกระตุ้นให้เกิดความตระหนักรู้และเข้าใจในบุคลิกภาพและผลกระทบที่ได้รับแล้ว และพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไขด้วยวิธีการทั้งห้าอย่างที่นำเสนอมา ก็จะสามารถพัฒนาบุคลิกภาพจากแบบก้าวร้าวให้เป็นบุคลิกภาพที่มั่นคงและปรกติยิ่งขึ้นได้ในที่สุด ภาพปกจาก: stux / pixabay ภาพที่1จาก : thommas68 / pixabay ภาพที่2จาก : PublicDomainPictures / pixabay ภาพที่3จาก: un-perfekt / pixabay ภาพที่4จาก: Claudio_Scott / pixabay ดร.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์ นักวิชาการสื่อสารสุขภาพจิตและศาสนาปรัชญา นักเขียนสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,มติชน,อมรินทร์ธรรมะ,ซีเอ็ด,ดีเอ็มจีและวิชบุ๊ค ประธานสถาบันพัฒนาบุคลากรwuttipong academy , ให้บริการปรึกษาและพัฒนาบุคลากรทั้งรายบุคคล รายกลุ่มและทั้งองค์กร, ไอดีไลน์ ac6555 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !