เมื่อพูดถึงศิลปะ คุณจะนึกถึงอะไรบ้างคะ รูปปั้นกรีก ภาพเขียนสีน้ำมันจากศิลปินดังะ ชาวยุโรป งานนิทรรศการศิลปะ การจัดวางที่เราไม่เข้าใจความหมาย ฯลฯ ที่เราเข้าใจและไม่เข้าใจ เข้าถึงและไม่เข้าถึง แต่นิยามที่แท้จริงของศิลปะก็มีมากเกินกว่าที่เราจะตัดสินได้ว่า " คำจำกัดความหมายครอบคลุมและชัดเจนที่สุด " ไม่ว่าจะเป็น photo by Dmitri Popov จาก stocksnap ๐ ศิลปะเป็นผลงานที่มนุษย์สร้างขึ้น ๐ ศิลปะเป็นการแสดงออกทางความงาม ๐ ศิลปะเป็นผลงานที่แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ ๐ ศิลปะคือความงาม ศิลปะคือการแสดงออกว่าตำแหน่งต่าง ๆ ของมนุษย์ photo by Joe deSousa จาก stocksnap ความหมายของศิลปะมันเยอะเกินกว่าเลือกว่าจะจำอันไหนและคุณคุ้น ๆ ครูเคยสอนว่า "ศิลปะไม่มีผิดไม่มีถูก " งั้นก็…..ขอใช้คำจำกัดความ ! นี่คือเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชอบวิชาศิลปะตั้งแต่เด็ก (เท้าความซะงั้น) แต่นั่นเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของศิลปะท่อน้ำครับเพราะที่จริงแล้วอะไร ๆ รอบตัวเราก็สามารถเป็นศิลปะได้ อยู่ที่มุมมอง ความคิด การสร้างสรรค์ รายการแต่งตัวก็เป็นศิลปะอีกแขนงหนึ่งด้วยเช่นกันค่ะ คนอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ!! แล้วการเปลี่ยนตัวนี้มันเป็นศิลปะอย่างไร ก็แค่เอาเสื้อ กางเกง กระโปรง มาใส่ให้เข้าชุดกันปกปิดร่างกายเมื่อต้องออกไปเจอผู้คน คนเราทุกคนก็ต้องแต่งตัวกันทั้งนั้น มันควรจะเป็นเรื่องของธุรกิจประจำวันขั้นพื้นฐานศิลปะ (หรือเปล่าค่ะ) แต่… "การแต่งตัว" กับ "การแต่งตัวให้มีสไตล์ " นั้นต่างกันนะคะ แต่งตัวให้สบายไม่ได้หมายความว่าเราต้องแต่งตัวตามแฟชั่น ใส่ชุดตามแคตตาล็อกเป๊ะ หรือชุดถอดแบบมาจากแคทวอล์คที่มิลาน แต่การแต่งตัวแบบมีสไตล์นั้นมันเป็น " แฟชั่นของตัวเราเอง " ค่ะ แม้ว่าในไลฟ์สไตล์ปกติของชีวิต รอมักมีดารานักร้องคนดังทั้งหลาย เป็นแม่แบบในการแต่งกายอยู่เสมอ ชุดนั้นดาราคนนี้ใส่แล้วสวยเป๊ะ นักร้องคนนั้นใส่แล้วหุ่นดีเวอร์ ก็หันกลับมามองตัวเองก็คิดข้ามช็อต บอกตัวเองแบบลบ ๆ ไปแล้วว่า เป็นไปไม่ได้แน่ ๆ ฉันจะแต่งตัวสวยๆเก๋ๆสไตล์ดาราอย่างนั้น ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ค่ะ ขอย้ำซ้ำ ๆ พื่อความมั่นใจ ฉันเชื่อเหลือเกินค่ะ เราทุกคนมีศิลปะอยู่ในหัวใจแน่ซึ่งจุดนี้จะทำให้เราสามารถปรับการแต่งตัวที่เป็นเรื่องปกติธรรมดา ให้เป็นเรื่องสนุกประจำวันและมีสีสันให้ชีวิตได้อีกเยอะค่ะ เอาละค่ะ เพื่อความมั่นใจอีกชั้นหนึ่งเรามาเรียนรู้เรื่องศิลปะสักหน่อยดีกว่าค่ะ photo by Icons8 team จาก stocksnap ศิลปะขั้นพื้นฐาน 3 ประการที่ควรรู้ไว้ ศิลปะขั้นพื้นฐานไม่ใช่เรื่องทฤษฎีที่เข้าใจยากขนาดนั้นคุณไม่จำเป็นต้องเป็นอาร์ตตัวพ่อตัวแม่ก็สามารถเข้าใจในเรื่องนี้ได้ไม่ยากเลยค่ะ ฉันก็ไม่ได้เรียนทางศิลปะมาโดยตรง มีแต่ความรู้ในคาบวิชาเลือกเสริม เพราะมันคือวิชาที่ช่วยให้เราผ่อนคลายที่สุดเรียกได้ว่าตัวช้าไปหน่อย แต่พอได้เข้ามาเรียนก็รู้สึกว่าศิลปะไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรแค่ใช้ความเข้าใจกับมันเท่านั้นเอง แสงและเงา การจัดวาง การผสมสี เป็น 3 สิ่งหลัก ๆ กลุ่มหลัก ๆ ที่เราได้เรียนรู้มาแล้วต้องทำความเข้าใจ ซึ่งมันทำให้เกิดผลพลอยได้ในอนาคต 3 สิ่งนี้ นำมาใช้ได้กับทุกอย่าง จะทำให้เกิดงานศิลปะได้โดยการผสมผสานกันไปมา อมตะสไตล์สวยเก่งไม่แพ้ดาราคนไหน และดูดีได้ในแบบของคุณเองแน่นอนค่ะ แสงและเงา แสงและเงาสองสิ่งที่มาคู่กันนี้มีความสามารถพิเศษในตัวเองคือ ช่วยในด้านของการอำพราง ในสิ่งที่เราไม่ต้องการเห็น และเสริมจุดเด่นที่ต้องการค่ะ มันสามารถช่วยดึงขึ้นมาให้เด่นเป็นสง่าและช่วยอำพรางในจุดที่เราต้องการปกปิดบังซ่อนเร้นได้เป็นอย่างดี มองกันดี ๆ ดารานางแบบหลายคน รูปร่างก็ไม่ได้เพอร์เฟค เหมือนอย่างที่เราเห็นออกสื่อ เพราะภาพเหล่านั้นได้ผ่านขั้นตอนการผลิตให้ดูดีขึ้นมาแล้วเรียบร้อย แต่หลายครั้งที่พวกเขาดูดีขึ้นมาได้ อาศัยเทคนิคแสงและเงาอำพรางส่วนที่ไม่พอดีให้ดูได้ และเน้นส่วนที่เป็นจุดขายให้โดดเด่น แค่นี้เองที่ทำให้ความเจิดอยู่คู่เรือนร่างของพวกเธอไงคะ ที่บอกไปว่าแสงและเงานั้นมีส่วนช่วยเรื่องการอำพรางและเสริมคือน้ำหนักที่สีทึบจะมีคุณสมบัติในการดูดแสง และช่วยกดในส่วนที่น้าหรือทำให้เล็กลงแต่ภาพเป็นสีโทนเย็นหรือสว่างจะมีคุณสมบัติในการกระจายแสง เช่น สีเหลือง คือสีที่สว่างจะสะท้อนแสงออกได้ดี ทำให้มีความสว่างเพิ่มขึ้น วิธีลองง่าย ๆ นะคะ มาว่าสี่เหลี่ยม 2 อันเท่ากันแต่ระบายสีต่างกันเราก็จะเห็นความแตกต่างทั้ง ๆ ที่ขนาดช่องเท่ากัน แต่ความรู้สึกของเรากลับบอกว่าช่องสีเข้มจะรู้สึกว่าขนาดเล็กกว่าช่องที่สีอ่อน -รูปภาพจาก pexels - ลดส่วนเกินด้วยแสงและเงา แสงและเงามีส่วนช่วยในการเลือกสีเสื้อผ้าเป็นอย่างมาก ทางเลือกสีโทนเข้ม สีทึบ (เมื่อไม่กระจายแสงก็จะไม่เพิ่มขนาด) เช่น น้ำเงิน ดำ คราม ถ้าน้ำหนักสีเข้มแรงเอาเยอะ นั่นคือความหนาของชั้นสีมาก จะช่วยอำพรางในสิ่งที่เราไม่ต้องการได้ค่ะ อีกหนึ่งเทคนิคง่าย ๆ ที่จะมาแนะนำให้เรารู้จักแก้ปัญหารูปร่างตัวเองได้ โดยการลองเอาแสงและเงามาเพิ่มลดตัดกลมส่วนที่ต้องการได้ คือ วาดโครงร่างรูปร่างตัวเองแบบง่าย ๆ ที่เห็นในกระจก เมื่อใดโครงร่างแล้ว สังเกตจากโครงนั้นก็จะรู้ว่าหุ่นเราเป็นอย่างไร แล้วส่วนไหนที่เรามีปัญหาก็ลองไล่น้ำหนักดู ค่อย ๆ ไล่จากอ่อนไปเข้มก็จะรู้ ว่าตรงไหนควรเป็นสีทึบ ตรงไหนควรเป็นสีสว่าง ตรงไหนควรลึก ตรงไหนควรนูน ก็จะได้รูปร่างที่เราพอใจ ว่าตามความเป็นจริงนะคะ ยาขี้โกงว่าให้คุณดีเกินกว่าที่เป็น….. แต่อย่าลืมว่านี่คือการระบายลงบนกระดาษเท่านั้นเวลาเราใส่เสื้อผ้าจริงคงจะมาระบายอย่างนี้ไม่ได้แน่ ๆ เทคนิคแสงและเงาที่เรารอระบายนี้ จะช่วยให้เราเลือกชิ้นผ้าในสิ่งที่เหมาะสมกับการรักษาส่วนที่เราต้องการเปิดหรือปิดได้ค่ะ เช่น ในกรณีที่เราเป็นสาวสะโพกใหญ่จนเด่นเกินหน้า อยากทำสะโพกให้ไม่มากจนเกินพอดี การเลือกผ้าสีเข้มในส่วนสะโพกที่เราลองแรงเงาในกระดาษมาแล้ว แสงและเงาจะทำให้เรารู้ได้ว่าเราจะแก้ปัญหาอย่างไรให้เหมาะกับตัวเอง จะได้รู้ว่าสีนี้ควรอยู่ตรงไหนจึงจะช่วยพรางได้ สำหรับคนที่มีปัญหาช่วงบนใหญ่ อกใหญ่ แขนใหญ่ มีพุง คุณอาจจะคิดว่าต้องใส่ยาวหมด ปิดหมด กลางข้างบนทั้งหมดซึ่งจริงๆแล้วไม่จำเป็นเลยค่ะ เพราะส่วนใหญ่แล้วเราจะมีส่วนที่สวยงามอย่างน้อย 1-2 ส่วนเสมอ เช่น บางคนสะโพกทอร์นาโด แต่ขาสวยมาก เล็กเรียวเพรียวน่าโชว์ ก็ควรใส่กางเกงขาสั้นสีดำ ซึ่งเป็นสีทึบเหมือนส่วนที่เราแรงเงาทึบ ว่าจะช่วยกดให้ช่วงสะโพกดูเล็กลงได้ และกางเกงขาสั้นเป็นการขับให้เห็นช่วงขาที่เรียวเล็ก ทำให้คนที่มองมาสนใจชั่วคราวมากกว่าสะโพก คือถ้าแขนใหญ่ไม่สวย แต่น่องสวย ก็ให้ใช้สีพรางช่วงแขน และเน้นให้คนมาโฟกัสชั่วคราวให้มาก แค่นี้ก็ช่วยให้ดูดีขึ้นได้ด้วยความรู้เล็กๆจากแสงและเงาค่ะ เห็นไหมคะเราไม่จำเป็นต้องกังวลกับจุดด้อย แต่ลองถอยมาสร้างจุดแดน ที่มีให้โดดเด้งขึ้นมามากกว่าที่เป็นอยู่ เทคนิคการใช้แสงและเงาก็ช่วยให้เราดูดีมีสไตล์ไม่แพ้ดาราคนไหนเลยค่ะ -รูปภาพจาก pexels - สี สีเป็นส่วนสำคัญของศิลปะทุกแขนงค่ะ ไม่ว่าอะไรไม่ว่าแนวไหน ยังไงก็ต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง รวมไปถึงในแต่ละวันที่เราใช้ชีวิตอยู่ ลองมองดูให้เห็นแต่สีสันมากมายเต็มไปหมด นอกจากที่เราจะมีความรู้พื้นฐานว่าสีอะไรเรียกว่าอะไร แต่ที่ควรรู้มากไปกว่านั้นก็คือ ความสัมพันธ์ของสีที่มีความต่างกัน เพราะนั่นหมายถึงเราจะมีความสามารถในการเลือกสีสันบนชุดสวยให้เข้ากับตัวเราได้ง่ายขึ้นด้วยค่ะ พื้นฐานของสีที่ควรรู้คู่การแต่งตัว สิ่งที่ควรรู้อย่างแรกของการใช้สีนั้นคือ วรรณะของสี หรือที่เรียกง่ายๆว่าโทนของสีซึ่งจะมีอยู่ 2 โทนหลักแถมยังเอามาใช้ได้ตั้งแต่วัยแรกรุ่นยันต์วัยตอนปลายนั่นก็คือสีโทนเย็นและสีโทนร้อน วรรณะร้อน (Warm tone) หรือสีโทนร้อน ได้แก่ สีเหลือง สีส้ม สีแดง สีม่วง ซึ่งสีเหล่านี้มีความรู้สึกตื่นเต้น ร้อนแรง เร้าใจ กระฉับกระเฉง วรรณะเย็น (cool tone) หรือสีโทนเย็น ได้แก่ สีเขียว สีน้ำเงิน สีม่วง สีเรานี้จะมีความรู้สึกตรงข้ามกับโทนร้อนคือ สงบ สดชื่น เย็นตา ดูแล้วสบายตาสบายใจ มีเป็นพื้นฐานในเรื่องสี ถ้าเราเข้าใจก็จะหยิบจับชุดให้เข้ากับตัวเองได้ไม่ยากเลยค่ะ เพราะโดยปกติเวลาเราซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปหรือสั่งตัดก็ต้องเลือกสีให้เข้ากับตัวเอง ซึ่งเหมือนกับว่าวัตถุดิบที่เราจะใช้ถูก fix ตายตัวอยู่แล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ขึ้นอยู่กับการเลือกของเราเท่านั้นเอง photo by João Silas จาก stocksnap บางคนอาจจะถามว่า อยากได้สีเนื้อผ้าที่ต้องการเป๊ะเลยได้ไหม ก็ต้องขอตอบว่าได้ แต่ยาก เพราะเราต้องยอมผสมสีผ้าเอาเองซึ่งค่อนข้างยาก นอกจากโทนสีหลักทั้ง 2 โทน ยังมีสีกลางอย่างสีเทาหรือสีขาวที่เป็นตัวผสมให้กับทุกสีได้ ทำให้เราสนุกสนานกับการเลือกเสื้อผ้าและการแต่งตัวให้ดูเก๋เข้าท่ามากขึ้นได้ค่ะ แต่ฉันไม่อยากลงลึกในเรื่องของทฤษฎีเยอะค่ะ เพราะเรื่องบางครั้งการใช้กฎเกณฑ์มากเกินไป ก็อาจทำให้เราหมดสนุกกับการแต่งกายของตัวเองได้ง่ายๆเลย แต่งตัวแบบนี้สิเข้ากับเราไหม มีหลายคนชอบถามเรื่องสีว่า " สีนี้กับสีนี้เข้ากันไหม " เรื่องนี้สนุกมากๆ เรื่องการจัดโทนสีให้เข้ากัน ลองนึกภาพดารามากมายมารวมตัวกันในงานปาร์ตี้อีเว้นท์ต่าง ๆ โอ้โห…..เสื้อผ้าหน้าผม ทุกอย่างจัดเต็มบางทีในตัวคนคนเดียวที่มีสีแทบจะครบทุกเฉด เพลงไหนพวกเธอกลับดูดีขึ้นมาได้แบบไม่น่าเชื่อ หรือแม้แต่บางคนก็บอกว่า "แดงกับเขียวไม่ควรอยู่ด้วยกัน" อยู่กันไม่ได้ แถมถากถางสียด้วยว่า เธอจะไป Merry Christmas Jingle Bells All the Way หรอ แต่ทุกสีอยู่ด้วยกันได้ค่ะ และยังเป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดไอเดียสร้างสรรค์ และเกิดจินตนาการอีกด้วย photo by EVG Photos จาก stocksnap เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะกับศิลปะพื้นฐานเหล่านี้ ที่จะเป็นตัวที่ทำให้คุณสามารถเลือกและรู้ว่าจะทำอย่างไรให้อะไรมาอยู่บนตัวคุณได้ เราจะวางตำแหน่งอย่างไรให้เราดูดีค่ะ