หญิงสาวม.ปลายที่มีชีวิตสดใสร่าเริงตามวัย ยิ้มง่าย หัวเราะเก่ง เป็นเด็กกิจกรรม การเรียนก็ค่อยข้างไปทางที่ดี โรงเรียนเปรียบเสมือนบ้านหลังที่2ของเธอ ยามอรุณรุ่งเช้าเธอตื่นมาด้วยเสียงปลุกของแม่ เดินลงมาจากห้องนอนเพื่ออาบน้ำแต่งตัวแล้วนั่งวินไปโรงเรียน นี่คือ กิจวัตรประจำวันของเธอ เพื่อนของเธอได้รับตำแหน่งประธานนักเรียนทำให้เธอกลายเป็นกรรมการสภานักเรียน โดยหน้าที่ประจำของเธอคือชักธงชาติ และตรวจความเรีบยร้อยของโรงเรียน มันคือความสุขของเธอในรั้วโรงเรียน มีเพื่อนที่ดี คุณครูที่ดี สภาพแวดล้อมที่ดี ดูภายนอกของเธอ เธอก็คือ หญิงสาวม.ปลายทั่วไป แต่พอเธออยู่ม.6อาการของเธอก็ผิดแปลกไป เธอเริ่มไม่อยากไปโรงเรียน หาข้ออ้างหยุดเรียนไปเรื่อยๆ พอไม่ไปโรงเรียนหลายวัน เพื่อนๆของเธอก็เอะใจบ้าง แต่คงคิดว่าเธอขี้เกียจ พอเพื่อนๆหลายคนพูด ก็ทำให้เธอคิดน้อยใจเพื่อน ความสนิทก็ค่อยๆลดลง ทำให้เธอยิ่งไปอยากไปโรงเรียน เธอเริ่มเรียนไม่ทันเพื่อน เกรดตก เข้าร่วมกิจกรรมน้อยลง ทำให้เธอยิ่งเครียดและกังวล ความรู้สึกของเธอเริ่มเปลี่่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด การมาโรงเรียนของเธอทำให้ชีวิตดูเศร้าดูอ้างว้าง แค่เธอก้าวเท้ามาแตะขอบพื้นโรงเรียนก็ทำให้เธอกระอักกระอ่วนหัวใจ บ่ายวันศุกร์เธอนั่งเรียนคาบวิชาคอมพิวเตอร์ ด้วยควมที่เธอหยุดเรียนหลายวัน ทำให้เธอตามงานไม่ทัน ถามเพื่อนเพื่อนก๋ตอบประชดประชันว่าไม่ยอมมาโรงเรียนเอง เธอเริ่มตัวสั่น ใจเต้นแรง น้ำตาไหลพร่า เธอตัดสินใจโทรให้แม่มารับก่อนเวลาเลิกเรียน เธอไปหาหมอและเล่าอาการให้หมอฟังอย่างละเอียด หมอจึงให้เธอเข้าพบแผนกจิตเวช คุณหมอเริ่มใช้หลักจิตวิทยาสอบถามเธออย่างไม่รีรอ ทำให้เธอเล่าปัญหาด้วยน้ำตา เธอเล่าให้หมอฟังทุกเรื่องอย่างไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน เธอบอกว่า อาการของเธอไม่ได้พึ่งเป็น อาการที่น้อยใจ เก็บทุกคำพูดทุกคนมาคิด เศร้าไม่มีความสุขในชีวิต เก็บความเศร้าโศกไว้คนเดียว เพราะอยากให้คนรอบกายมีแต่ความสุข ไม่เครียด เธอเริ่มเป็นตั้งแต่เด็กๆแล้ว หมอจึงถามว่า ตอนเด็กจะมีเรื่องอะไรให้เครียด เธอรีบตอบกลับอย่างไวพร้อมน้ำตาที่ไหลมากกว่าเดิม เรื่องครอบครัวไงหมอ เธออยู่ในครอบครัวที่มีแต่ความขัดแย้ง ตั้งแต่เธอเกิดมา ครอบครัวทางพ่อไม่เคยคิดรักและหวังดีกับแม่เธอเลย มีแต่จะด่าและนินทราแม่ของเธอ หลายครังที่เธอทนฟังแม่กับย่ายืนทะเลาะกัน แม่กับลุงยืนด่ากัน แม่กับป้ายืนเถียงกัน เธอกับพ่อต้องเป็นคนกลางเสมอ ภาพเหล่านั้นมันมีมาตั้งแต่เธอเกิดมาจริงๆ เธอเก็บอาการ เก็บน้ำตา พยายามเข็มแข็งมาตลอด จนเมื่อ 2-3ปีก่อน แม่ของเธอผ่าตัดเนื้องอกในสมองเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาครั้งนึง ยิ่งทำให้เธอต้องเข็มแข็งมากขึ้น เพื่อให้คนรอบกายไม่มีเรื่องที่ต้องคิดให้หนักใจ นี่ก็คือเหตุผลนึงที่ทำให้เธอไม่อยากไปโรงเรียน เพราะเธออยากใข้เวลากับแม่ให้มากที่สุด หมอวินิจฉัยว่าเธอป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ต้องทำการรักษา หมอได้เรียกแม่ของเธอไปคุยแม่ของเธอจึงตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับทางครอบครัวของพ่อ ทางครอบครัวของพ่อแรกๆก็ไม่ยอมรับและไม่เข้าใจอาการที่เธอเป็น แต่พอทุกคนมาเห็นกับตาอาการของเธอดูไม่มีชีวิตชีวา ดูเศร้าหมองแบบเห็นได้ชัด หลังๆครอบตรัวทางพ่อก็ให้ความร่วมมือที่ดี คือเขายอมลดทิฐิลง จากที่เคยทะเลาะกันก็ดูเข้าใจกันมากขึ้น พูดกันดีขึ้น ดูรักและใส่ใจกันมากขึ้น คราวนี้ก็อยู่ที่การรักษาสภาพจิตใจและการกินยา การรักษาอาการซึมเศร้าครั้งนี้ ทำให้เธอตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนเพื่อรักษาตัว เพื่อนๆและคุณครูไม่มีใครเห็นด้วยกับการตัดสินใจครั้งนี้เลย แต่เธอก็อธิบายอาการที่เธอเป็น โรคที่เธอเป็นต้องรักษายังไง ยาที่กินมีผลต่อการใช้ชีวิตยังไง เธอไม่อาจรับรู้ได้หรอกว่าเพื่อนและคนอื่นจะเข้าใจไหมกับสิ่งที่เธอพูดไป เธอใช้ระยะเวลารักษาตัวเองประมาณ2ปี ด้วยการกินยา บวกกับสภาพแวดล้อมของครอบครัวที่ดีขึ้น การดูแลเอาใจใส่ของคนรอบข้าง เธอได้กลับไปปรับความเข้าใจกับเพื่อน เพื่อนเธอก็ขอโทษที่ตอนนั้นไม่เข้าใจเธอ เพื่อนกับเธอกลับมาสนิทกันอีกรอบ ทุกอย่างตอนนี้ในชีวิตเธอดูแฮปปี้ขึ้นมากๆ เธออยากบอกกับทุกคนบนโลกนี้ว่า โรคซึมเศร้า เป็นโรคทางความรู้สึก เป็นโรคทางจิตใจ ไม่ใช่โรคเรียกร้องความสนใจ ไม่ใช่โรคสำออย คนที่เป็นเขาไม่ต้องการให้ใครมาสนใจหรอก เขาไม่อยากให้ใครเอามายุ่งด้วยซ้ำ เขาไม่ต้องการคนมาเวทนาสงสารทั้งนั้น เขาแค่ต้องการคนที่เข้าใจเขา ยอมรับในตัวเขาจริงๆก็แค่นั้น............ ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ป่วยซึมเศร้าทุกคน เครดิตภาพปก จาก canva โดย ครีเอเตอร์ (โม ใง ใครจำได้)เครดิตภาพที่1 เครดิตภาพโดย RtanMCGuir จาก pixabayเครดิตภาพที่2 เครดิตภาพโดย darksouls1 จาก pixabayเครดิตภาพที่3 เครดิตภาพโดย Engin_Akyurt จาก pixabay เครดิตภาพที่4 เครดิตภาพโดย silvirta จาก pixabay เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !