10 วิธีลดความเครียดสะสม จากเหตุการณ์ความไม่สงบ ไทย-กัมพูชา อ่านต่อเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จากที่เหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างไทยกับกัมพูชา ยังคงเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลใจให้กับเราทุกคน หลายคนอาจสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอึดอัด วิตกกังวล หรือแม้กระทั่งความกลัวที่เกาะกุมอยู่ในใจ นั่นคือความเครียดที่กำลังก่อตัวขึ้นในตัวเราอย่างเงียบๆ ค่ะ ซึ่งความเครียดเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการที่เราคิดไปเอง แต่เป็นปฏิกิริยาปกติของร่างกายและจิตใจที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนและการถูกคุกคาม ความไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ข่าวสารที่ไม่ได้รับการยืนยัน หรือแม้แต่ภาพและเสียงที่เราได้รับจากสื่อต่างๆ ล้วนเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้ระบบประสาทของเราอยู่ในภาวะตื่นตัวตลอดเวลา เหมือนกับการที่เรากดปุ่ม "สัญญาณเตือนภัย" ในตัวเราค้างไว้ จึงทำให้เราเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ นอนไม่หลับ หงุดหงิดง่าย หรือแม้กระทั่งส่งผลกระทบต่อร่างกาย ซึ่งทั้งหมดนี้คือสัญญาณที่บอกว่าความเครียดกำลังสะสมอยู่ในตัวเราแล้ว ดังนั้นความจำเป็นในการลดความเครียดก็ตามมา แล้วทำไมเราถึงจำเป็นต้องลดความเครียดในระหว่างที่สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย? เหตุผลก็คือหากเราปล่อยให้ความเครียดเกาะกินจิตใจไปเรื่อยๆ โดยไม่หาวิธีจัดการ สิ่งนี้จะส่งผลเสียต่อเราในระยะยาวอย่างร้ายแรง ที่ไม่ใช่แค่เรื่องของอารมณ์ แต่ยังรวมถึงร่างกาย ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และประสิทธิภาพในการใช้ชีวิตประจำวันด้วย เพราะเมื่อเราเครียดมาก เราจะตัดสินใจผิดพลาดได้ง่าย มองโลกในแง่ลบ และอาจถึงขั้นป่วยทางกายได้ การลดความเครียดจึงไม่ใช่แค่การรู้สึกดีขึ้นชั่วคราว แต่เป็นการเสริมสร้างเกราะป้องกันทางใจ ให้เราสามารถเผชิญหน้ากับความจริงที่ยากลำบากได้อย่างมีสติ มีพลังงาน และสามารถดูแลตัวเองและคนที่เรารักได้อย่างเต็มที่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนนี้ เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าสถานการณ์ภายนอกจะเป็นอย่างไร การมีร่างกายจิตใจที่แข็งแรง คือ สิ่งสำคัญที่สุดที่จะพาเราผ่านพ้นทุกวิกฤตไปได้ค่ะ และต่อไปนี้คือวิธีลดความเครียดที่ทุกคนสามารถทำได้นะคะ 1. รับข้อมูลอย่างมีสติและจำกัด รู้ไหมคะว่า ในสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา สิ่งที่เราทุกคนต้องเผชิญหน้า คือ ความเครียดและความกังวลที่แทรกซึมเข้ามาในชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ความเครียดนี้ยิ่งทวีคูณก็คือ การรับข้อมูลข่าวสารอย่างไม่ระมัดระวังและเกินความจำเป็น โดยในระหว่างนั้นในแต่ละวัน เราเปิดดูข่าวสารมากมาย ไม่ว่าจะเป็นจากโทรทัศน์ สื่อออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดีย ซึ่งบ่อยครั้งเต็มไปด้วยข่าวลือ ข้อมูลที่ไม่ได้รับการยืนยัน หรือภาพเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจ เพราะการที่เราจมอยู่กับข้อมูลเหล่านี้ตลอดเวลา จะเป็นเหมือนกับการเทน้ำมันลงบนกองไฟที่กำลังคุกรุ่นในใจเราเอง แทนที่จะช่วยให้เราเข้าใจสถานการณ์ กลับยิ่งทำให้จิตใจว้าวุ่นและวิตกกังวลมากขึ้นจนกลายเป็นความเครียดสะสมที่เราเองก็ไม่รู้ตัว ดังนั้นการที่เราจะสามารถลดความเครียดนี้ได้จริงๆ หัวใจสำคัญคือการรับข้อมูลอย่างมีสติและจำกัด เลือกแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ กำหนดเวลาในการรับข่าวสารให้ชัดเจน ไม่ต้องติดตามทุกนาที และที่สำคัญคือต้องรู้จักที่จะหยุด เมื่อรู้สึกว่าข้อมูลที่ได้รับเริ่มส่งผลกระทบต่อจิตใจมากเกินไป เพราะการปกป้องสุขภาพใจของเราในยามวิกฤต เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้การดูแลสุขภาพกายเลยค่ะ 2. รักษากิจวัตรประจำวัน สิ่งหนึ่งที่เราอาจมองข้ามไปแต่กลับมีพลังมหาศาล ในการช่วยลดความเครียดสะสมได้ก็คือ การรักษากิจวัตรประจำวันค่ะ ลองนึกภาพดูว่าเมื่อสถานการณ์ภายนอกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและวุ่นวาย จิตใจของเราก็พลอยสับสนและรู้สึกไร้ทิศทางไปด้วย แต่การที่เรายังคงพยายามตื่นนอน ทานอาหาร ทำงาน หรือทำกิจกรรมเดิมๆ ในเวลาใกล้เคียงปกติ เหมือนการที่เราสร้างหลักยึดเล็กๆ ให้กับตัวเอง ซึ่งกิจวัตรเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่เพียงกิจวัตร แต่เป็นเหมือนสมอที่คอยยึดเราไว้ไม่ให้ลอยเคว้งคว้างไปกับความวิตกกังวล การมีตารางชีวิตที่คุ้นเคยช่วยให้สมองของเรามีเรื่องที่คาดเดาได้ มีสิ่งที่ต้องโฟกัส ทำให้เรารู้สึกว่ายังคงควบคุมบางสิ่งบางอย่างในชีวิตได้ แม้ว่าสถานการณ์ภายนอกจะดูเหมือนควบคุมอะไรไม่ได้เลยก็ตาม การรักษากิจวัตรจึงไม่ใช่แค่การจัดระเบียบเวลา แต่เป็นการจัดระเบียบจิตใจให้มั่นคงและแข็งแรง พร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายที่เข้ามาค่ะ 3. พูดคุยและระบายความรู้สึก คุณผู้อ่านรู้ไหมระว่า ในยามที่เหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างไทยกับกัมพูชายังคงสร้างความตึงเครียดให้กับเราทุกคน สิ่งหนึ่งที่สำคัญและช่วยเยียวยาจิตใจได้อย่างน่าเหลือเชื่อ คือ การได้พูดคุยและระบายความรู้สึกค่ะ เพราะเมื่อเราต้องแบกรับความกังวล ความกลัว หรือความไม่สบายใจไว้คนเดียว จะเป็นเหมือนกับการที่เราถือของหนักๆ อยู่ตลอดเวลา ยิ่งถือไว้นานเท่าไหร่ก็ยิ่งเมื่อยล้าและหมดแรงลงเท่านั้น แต่เมื่อเราได้ลองแบ่งปันความรู้สึกเหล่านั้นกับใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อนสนิท หรือคนที่เราไว้ใจได้ จะเป็นเหมือนกับการที่เราได้วางของหนักๆ นั้นลงชั่วคราว การได้ระบายออกมา ไม่ใช่แค่การเปล่งเสียง แต่คือการปลดปล่อยอารมณ์ที่อัดอั้นอยู่ภายใน การได้ยินว่ามีคนรับฟัง เข้าใจ หรือแม้กระทั่งรู้สึกไม่ต่างจากเรา ก็ช่วยให้เรารู้สึกว่าไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป และความรู้สึกนี้เองที่สามารถบรรเทาความเครียดที่สะสมอยู่ในใจได้เป็นอย่างดี เพราะบางครั้งแค่การได้พูดออกมาก็เป็นการเริ่มต้นของการเยียวยาแล้วค่ะ 4. ดูแลร่างกายให้ดี หลายคนอาจคิดว่า การดูแลร่างกายอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสถานการณ์ใหญ่โต แต่จริงๆ แล้วนี่คือกุญแจสำคัญในการลดความเครียดสะสมค่ะ ลองนึกภาพดูว่าเมื่อร่างกายของเราอ่อนแอ พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือรับประทานอาหารไม่ได้ จิตใจของเราก็จะพลอยหงุดหงิดง่าย อ่อนไหว และพร้อมที่จะเครียดได้ทันที แต่การที่เรายังคงให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดินเล่น หรือการยืดเส้นยืดสายบ้างในแต่ละวัน รวมถึงการเลือกทานอาหารให้ได้ตามปกติ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งการดูแลตัวเองในระหว่างเหตุการณ์ความไม่สงบนี้ จึงไม่ใช่แค่การดูแลร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่อจิตใจของเราด้วย เพราะเมื่อร่างกายแข็งแรงและสดชื่น เราก็จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีพลังงานมากขึ้น และที่สำคัญคือมีภูมิคุ้มกันทางใจที่ดีขึ้น พร้อมที่จะรับมือกับความเครียดและความท้าทายต่างๆ ที่เข้ามาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ 5. ทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย การปล่อยให้จิตใจจมดิ่งอยู่กับความกังวลตลอดเวลานั้น เป็นสิ่งที่บั่นทอนเราอย่างมากนะคะ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมการหากิจกรรมที่ช่วยให้เราผ่อนคลาย จึงสำคัญยิ่งกว่าที่คิดค่ะ ลองนึกภาพดูว่าความเครียดที่เราสะสมไว้นั้นเหมือนกับแบตเตอรี่ที่กำลังใกล้หมด แต่กิจกรรมผ่อนคลายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลงโปรด การอ่านหนังสือดีๆ การดูหนังสนุกๆ หรือแม้แต่การใช้เวลากับงานอดิเรกเล็กๆ น้อยๆ ที่เราชอบ ก็เปรียบเสมือนการที่เราได้เสียบปลั๊กชาร์จแบตเตอรี่ให้กับจิตใจ ซึ่งการได้เบี่ยงเบนความสนใจออกจากข่าวสารและความกังวลชั่วคราว ทำให้เราได้มีช่วงเวลาที่จิตใจได้พักผ่อน ได้ทำในสิ่งที่ทำให้มีความสุขและรู้สึกดี ซึ่งช่วยปลดล็อกความรู้สึกอึดอัดที่ติดค้างอยู่ภายใน และเติมพลังบวกให้กับเรากลับมามีเรี่ยวแรงและกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อไปในสถานการณ์ที่ยังคงท้าทายรอบตัวเราค่ะ 6. ฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย ในยามที่เหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างไทยกับกัมพูชา ยังคงสร้างความรู้สึกไม่มั่นคงและกังวลใจให้เรา ซึ่งสิ่งที่เรามักจะลืมไปคือความสำคัญของการดูแลจิตใจให้สงบ และการฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย จึงเป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญอย่างยิ่งค่ะ การได้ฝึกการหายใจเข้า-ออกลึกๆ ช้าๆ หรือการทำสมาธิสั้นๆ เพียงไม่กี่นาทีต่อวัน ก็เปรียบเสมือนการที่เราค่อยๆ รินน้ำขุ่นๆ ออกจากแก้ว และเติมน้ำใสๆ เข้าไปแทนที่ ซึ่งเทคนิคนี้ช่วยให้ระบบประสาทของเราสงบลง ลดการทำงานของฮอร์โมนความเครียด และทำให้จิตใจที่วุ่นวายได้พักผ่อนชั่วขณะ ที่ไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่ซับซ้อน แค่เพียงหาเวลาเงียบๆ อยู่กับตัวเองและลมหายใจ การฝึกฝนเล็กๆ น้อยๆ นี้จะช่วยให้เรามีเครื่องมือในการจัดการกับความเครียดได้ด้วยตัวเอง ทำให้จิตใจของเรามีความพร้อมและเข้มแข็งพอที่จะรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เข้ามาได้ดีขึ้นค่ะ 7. จำกัดการเข้าถึงโซเชียลมีเดีย จากที่เหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างไทยกับกัมพูชา ยังคงสร้างความรู้สึกเปราะบางให้กับจิตใจของเรา สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจมองข้ามไปว่าเป็นเพียงช่องทางการติดต่อสื่อสาร แต่กลับกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะความเครียดชั้นดี นั่นก็คือโซเชียลมีเดียค่ะ ลองนึกภาพดูว่าในแต่ละวันที่เราเลื่อนดูฟีดข่าวต่างๆ บนแพลตฟอร์มเหล่านี้ เราไม่ได้เห็นแค่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ แต่ยังต้องเผชิญกับข่าวลือ ข่าวปลอม ภาพเหตุการณ์ที่สร้างความตื่นตระหนก หรือแม้กระทั่งความคิดเห็นที่รุนแรงและเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่คอยเติมความกังวลและความเครียดให้กับเราโดยไม่รู้ตัว การจมอยู่กับโซเชียลมีเดียมากเกินไปในสถานการณ์แบบนี้ ก็เหมือนกับการที่เราเดินเข้าไปในพายุโดยไม่สวมเสื้อกันฝน ยิ่งรับมากก็ยิ่งเปียกปอน ดังนั้น การที่เราจะสามารถลดความเครียดสะสมได้จริงๆ คือ การจำกัดการเข้าถึงโซเชียลมีเดียให้พอเหมาะ เลือกที่จะรับรู้เท่าที่จำเป็น และกล้าที่จะกดปิดเมื่อรู้สึกว่าสิ่งที่เห็นเริ่มส่งผลกระทบต่อใจ เพื่อที่เราจะได้มีพื้นที่ให้จิตใจได้พักผ่อนและฟื้นฟูตัวเองจากความวุ่นวายภายนอกค่ะ 8. ช่วยเหลือผู้อื่นหากทำได้ สิ่งหนึ่งที่เรามักจะคิดไม่ถึงว่าจะช่วยลดความเครียดสะสมให้กับตัวเราเองได้ นั่นก็คือการได้ช่วยเหลือผู้อื่นหากทำได้ค่ะ ฟังดูอาจจะขัดแย้งกับความรู้สึกที่ว่าเราเองก็เครียดอยู่แล้ว จะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร!? แต่ลองนึกภาพดูสิคะว่า เมื่อเราจมอยู่กับความทุกข์ของตัวเองมากเกินไป โลกทั้งใบของเราก็ดูจะหดเล็กลง เหลือแต่ความกังวลส่วนตัว แต่เมื่อเราได้มีโอกาสยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือใครสักคน ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน เช่น การให้กำลังใจ การแบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หรือแม้แต่การช่วยเหลืองานเล็กๆ น้อยๆ ในระหว่างนี้ ซึ่งการกระทำเหล่านี้จะช่วยให้เราหลุดพ้นจากวงจรความคิดเชิงลบของตัวเองชั่วขณะหนึ่ง ที่จะทำให้เรารู้สึกว่าเรายังมีคุณค่า ยังสามารถทำอะไรบางอย่างที่เป็นประโยชน์ได้ และที่สำคัญคือการได้เห็นรอยยิ้มหรือคำขอบคุณจากผู้ที่เราช่วยเหลือ จะช่วยเติมเต็มความรู้สึกดีๆ และสร้างความหวังในใจของเราได้เป็นอย่างมาก ซึ่งพลังบวกเหล่านี้เองที่จะช่วยลดความเครียดที่สะสมอยู่ และทำให้เรามีกำลังใจที่จะก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ค่ะ 9. วางแผนในสิ่งที่ควบคุมได้ ในสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่แน่นอนและควบคุมอะไรไม่ได้เลย แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญและช่วยลดความเครียดสะสมในใจเราได้อย่างมากก็คือ การวางแผนในสิ่งที่เราควบคุมได้ค่ะ ลองนึกภาพดูว่าเมื่อทุกอย่างรอบตัวดูจะอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา จิตใจก็จะยิ่งว้าวุ่นและรู้สึกไร้อำนาจ แต่การที่เราหันมาโฟกัสกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เรายังสามารถจัดการได้ เช่น การเตรียมความพร้อมเบื้องต้นสำหรับครอบครัวหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน การจัดเก็บเอกสารสำคัญให้เป็นระเบียบ หรือการศึกษาเส้นทางสำรองไว้บ้าง ก็เปรียบเสมือนการที่เราได้หยิบจับบางสิ่งบางอย่างที่จับต้องได้ขึ้นมาทำ การมีแผนสำรองเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องวิตกจริตหรือหวาดกลัว แต่เป็นการสร้างความรู้สึกมั่นคงภายในจิตใจ ทำให้เรารู้สึกว่าอย่างน้อยที่สุด เราก็ยังสามารถดูแลตัวเองและคนที่รักได้ในระดับหนึ่ง และความรู้สึกว่าเรายังมีอำนาจในการตัดสินใจและเตรียมพร้อมสำหรับบางสิ่งบางอย่างนี้เองที่ จะช่วยลดความวิตกกังวล และเปลี่ยนความรู้สึกไร้พลังให้กลายเป็นความเข้มแข็ง พร้อมที่จะรับมือกับทุกสถานการณ์ได้อย่างมีสติค่ะ 10. จำกัดการเปรียบเทียบและโฟกัสที่ตนเอง ในสถานการณ์ความไม่สงบซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกเปราะบางและอ่อนไหว สิ่งหนึ่งที่เรามักจะทำโดยไม่รู้ตัวและอาจยิ่งเพิ่มความเครียดให้กับตัวเอง คือ การเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นคะ ไม่ว่าจะในโลกโซเชียลมีเดีย เราอาจเห็นคนอื่นแสดงความเห็นที่ดูมั่นใจ ไม่ตื่นตระหนก หรือบางคนก็อาจดูเหมือนเข้มแข็งกว่าเรามาก ทำให้เราเกิดความรู้สึกว่า "ทำไมเราถึงเครียดขนาดนี้" หรือ "ฉันอ่อนแอเกินไปหรือเปล่า" การเปรียบเทียบเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นเลยนะคะ ตรงกันข้ามกลับเป็นการซ้ำเติมความรู้สึกผิดหวังในตัวเอง และยิ่งเพิ่มความกดดันให้เราต้องแบกรับความรู้สึกนั้น ดังนั้นการที่เราจะลดความเครียดสะสมได้จริง ๆ คือการหันกลับมาโฟกัสที่ตนเอง ยอมรับว่าการรู้สึกกังวลในสถานการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องเปรียบเทียบความรู้สึกของตัวเองกับใคร อนุญาตให้ตัวเองได้รู้สึกในแบบที่รู้สึก และให้ความสำคัญกับการดูแลกายใจของตัวเองเป็นอันดับแรก เพราะการเข้าใจและยอมรับในความรู้สึกของตัวเอง คือ ก้าวแรกที่จะช่วยให้เราผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้อย่างเข้มแข็งและมีสติค่ะ และทั้งหมดนั้นคือแนวทางดูแลตัวเองเพื่อจัดการความเครียด จากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งสร้างความกังวลและความเครียดสะสมให้กับเราหลายคนนั้น ที่โดยสรุปแล้ววิธีการลดความเครียดที่เราพูดถึงข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นการรับข้อมูลอย่างมีสติ การรักษากิจวัตรประจำวัน การพูดคุยระบายความรู้สึก หรือแม้แต่การดูแลร่างกายให้ดี อาจทำให้บางคนรู้สึกว่าต้องทำทุกอย่างพร้อมกันจนกลายเป็นความกดดันเพิ่มขึ้นไปอีก แต่แท้จริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างพร้อมกันทั้งหมดค่ะ เพราะการพยายามทำทุกอย่างในคราวเดียว อาจทำให้เราเหนื่อยล้าและรู้สึกท้อถอยได้ การเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำได้จริงและเหมาะสมกับสถานการณ์ของแต่ละคนนั้นสำคัญกว่ามาก ถ้าหากจะเลือกทำเพียงบางอย่างในสถานการณ์จริง สิ่งที่สำคัญเป็นลำดับต้นๆ คือ การรับข้อมูลอย่างมีสติและจำกัด และการดูแลร่างกายให้ดีค่ะ ลองนึกภาพดูว่าถ้าเรายังคงจมอยู่กับกระแสข่าวสารที่ไร้การกรองและเต็มไปด้วยความวิตกกังวลตลอดเวลา จิตใจของเราก็จะไม่มีทางสงบได้เลย การควบคุมการรับข้อมูลเปรียบเสมือนการปิดประตูไม่ให้ความเครียดที่ไม่จำเป็นไหลเข้ามาสู่จิตใจ ส่วนการดูแลร่างกายให้ดี ไม่ว่าจะเป็นการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การรับประทานอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรือการออกกำลังกายเบาๆ ก็เปรียบเสมือนการสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งจากภายใน เมื่อร่างกายแข็งแรง จิตใจก็จะพลอยมีกำลังในการรับมือกับความเครียดและแรงกดดันต่างๆ ได้ดีขึ้นตามไปด้วย การเริ่มต้นจากสองสิ่งนี้ จะช่วยวางรากฐานที่สำคัญให้เราสามารถจัดการกับความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อเราเริ่มรู้สึกดีขึ้นแล้ว ค่อยๆ เพิ่มวิธีการอื่นๆ เข้าไปทีละน้อยตามความเหมาะสมค่ะ เพราะที่นี่ผู้เขียนก็ได้ทำแบบนั้นเหมือนกันค่ะ จริงๆ เลยตอนนี้ผู้เขียนอยู่ในพื้นที่สีแดง จะว่าเครียดไหม ก็มีบ้างนะคะ แต่ยังไม่ถึงขนาดว่านอนไม่หลับหรือกินไม่ได้ และการทำกิจวัตรประจำวันส่วนตัวยังคงทำได้ตามปกติ สติยังครบ 32 ค่ะ ตอนนี้ที่นี่พากันงดกิจวัตรที่ซับซ้อน ที่จะทำให้เราไม่พร้อมในยามฉุกเฉินค่ะ ซึ่งจากที่ผู้เขียนได้ลองนั่งคิดดูนั้น ความเครียดมักมาจากการที่เราไปโฟกัสเรื่องไกลตัว โดยเฉพาะในสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ และเป็นธรรมชาติที่คนเราจะเครียดมากขึ้น ยิ่งเวลาที่เรารู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กกว่าปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ ดังนั้นพยายามโฟกัสที่ตัวเองค่ะ อะไรทำได้ทำก่อน อะไรเตรียมได้เตรียม วางแผนการเดินทางอพยพ หาจุดตัดสินใจเพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้ได้ มีสติ เสพข่าวจากแหล่งที่น่าเชื่อถือก็พอแล้ว เพราะผู้เขียนก็ทำแบบนั้นค่ะ ที่เป็นการแสดงความคิดเห็นได้ยินก็พอ แต่อย่าเอามาคิดต่อ เราต้องรู้จักเชื่อมโยงข้อมูล คิดวิเคราห์และแยกแนะนะคะ อะไรจริง อะไรไม่ใช่ อะไรคิดไปเอง อะไรตีความไปเอง ที่สำคัญใช้เวลาในตอนนี้สร้างสิ่งที่มีคุณค่า แล้วเราจะได้เลิกเครียดน้อยลง ด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากสนใจเนื้อหาเช่นนี้อีก อย่าลืมกดติดตามหรือบุ๊กมาร์กโปรไฟล์ไว้ เพื่อรับข้อมูลใหม่ๆ ในบทความต่อไป และถ้าต้องการอ่านบทความทั้งหมดโดยผู้เขียน ให้กดดูโปรไฟล์ได้เลยค่ะ #วิธีลดความเครียด #สุขภาพจิต # MentalHealth #StressManagement เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปก โดย Yanalya จาก FREEPIK และออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหา: ภาพที่ 1 จากแอป LINE, ภาพที่ 2 โดย Jcomp จาก FREEPIK และภาพที่ 3 โดย Freepik จาก FREEPIK และภาพที่ 4 โดยผู้เขียน เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล 10 แนวทางดูแลตัวเอง ในศูนย์พักพิง เพื่อลดปัญหาด้านสุขอนามัย วิธีดูแลตัวเอง รับมือสารก่อภูมิแพ้หน้าฝน วันอานันทมหิดล 10 วิธีแก้นอนไม่หลับ สมองไม่หยุดคิด ในผู้อพยพที่ศูนย์พักพิง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !