สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ อูย... เราไปทำศัลยกรรมมาค่ะ แต่ว่าไม่ใช่ผ่าตัดตาสองชั้นหรือทำดั้งจมูก ที่จะทำให้สวยขึ้นแต่อย่างใด เป็นการผ่าฟันคุด! มาเล่าประสบการณ์ให้ฟังดีกว่าเนอะว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ใครที่จะต้องผ่าฟันคุดจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ ทำความรู้จักกับฟันคุด ก่อนอื่นเลยฟันคุดคืออะไร? มันคือฟันที่ไม่สามารถขึ้นได้ตามปกติในปากของเรา หมายความว่า อาจจะงอกโผล่ขึ้นมาได้แค่บางส่วน หรือฝังอยู่ในกระดูกขากรรไกรทั้งซี่ คือจมอยู่ใต้เหงือกหมดเลย ส่วนใหญ่ฟันคุดเลยมักจะเป็นฟันกรามล่างซี่สุดท้ายด้านในสุด เพราะปากไม่มีพื้นที่พอให้มันขึ้น (นี่แหละหนา ข้อเสียของคนสมัยใหม่ หน้าเรียววีเชพทั้งหลาย กรามมันแคบเกินไปไง) ทำให้ต้องผ่าตัดถอนฟันออกตอนช่วงอายุ 18-25 ปีค่ะ ทีนี้จะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีฟันคุดหรือเปล่า คือจริง ๆ ไม่มีใครรู้ได้แน่ชัดจนกว่าจะไปเอ็กซ์เรย์กับหมอฟันนะคะ แต่อาการทั่ว ๆ ไปคือ ด้วยความที่ฟันกรามมันจะขึ้น แต่ไม่มีพื้นที่เพียงพอใช่ไหมทุกคน มันก็จะพยายามดัน ๆ ๆ จนฟันล่างทั้งแถวของเราโดนเบียดชิดกันกว่าปกติ แล้วโผล่ขอบฟันขึ้นมาเหนือเหงือกนิดหนึ่ง เราจะรู้สึกได้ว่า เอ๊ะหลังฟันซี่ในสุดทำไมมีอะไรแข็ง ๆ คม ๆ ที่ไม่เคยมี หรือ ฟันมันโผล่ขึ้นมาไม่ได้เลย ตะแคงไปข้าง ๆ แทน และพยายามดันจนขากรรไกรของเรา จึงรู้สึกขัด ๆ งับปากไม่สนิทเหมือนเคย เวลากินข้าวหรือพูด ได้ยินเสียงกึกกักแปลก ๆ ทิ้งนานก็เริ่มปวด แบบกระดูกมันดันกัน ถ้ามีอาการพวกนี้ก็ไปหาหมอฟันให้ตรวจและเอ็กซเรย์เลยดีกว่าค่ะ จะได้เห็นว่าใต้เหงือกเรากำลังเกิดอะไรขึ้นนะ (ทั้งนี้ บางคนโชคดี ฟันคุดมันตะแคงอยู่ยังไงก็อยู่อย่างงั้น ไม่พยายามดันอะไรเลย ก็แปลว่าไม่มีปัญหา โดยเฉพาะฟันกรามบน ส่วนใหญ่ไม่ต้องผ่าก็ได้ ปล่อยให้มันค่อยๆขึ้นตามธรรมชาติแล้วค่อยถอนออกได้เหมือนกัน) ขอบพระคุณภาพจาก Pixabay.com โดย Joseph Shohmelian ขั้นตอนผ่าตัด คลินิกที่เราไป เป็นคลินิกเล็ก ๆ ที่เราเป็นคนไข้มานาน ราคาถูกกว่าที่อื่นมาก คุณหมอสูงวัยแล้วค่ะ ชื่อ คลินิกทันตแพทย์ธวัชชัย อยู่ริมถนนพิบูลสงคราม นนทบุรี (พิกัด https://goo.gl/maps/JfPj2AoqtsMEoktG8) เอาล่ะค่ะ ยืดอกเดินอาด ๆ เข้าคลินิกไปแต่เช้าด้วยใจมุ่งมั่น แม้ว่าในใจจะแอบกลัว คือเราไม่ได้กลัวเลือดกลัวเจ็บหรอกนะ ที่กลัวมาก ๆ ๆ ๆ ที่สุดคือ จะกินข้าวไม่ได้! ประเด็นยิ่งใหญ่ของชีวิตเลยเนี่ย ฮ่า ๆ ก่อนหน้านี้เคยเห็นเพื่อนสนิทไปผ่ามาก่อน โอ้โห แก้มเบี้ยวกินข้าวไม่ได้เลยตั้งหลายวัน ได้แต่นั่งจ๋อยดูดน้ำอัดลม เราก็สยองอยู่ค่ะว่าจะเป็นขนาดนั้นไหม แต่ฟันคุดจะปล่อยไว้ก็ไม่ได้ เดี๋ยวฟันทั้งปากถูกดันระเนระนาดหมด เลยพยายามสงบใจ เราต้องกินได้สิถ้าเราจะกลืนซะอย่าง! พอเข้าห้องหมอ ฉีดยาชาเสร็จ หมอให้กินยาแก้ปวดเพนนิซิลิน รออีกสักพักจนเริ่มชาไปครึ่งหน้า ทีนี้ก็ขึ้นเขียงล่ะค่ะเพื่อน ๆ ฟันซี่ที่เราต้องผ่านี้คือกรามล่างซ้าย ซึ่งโผล่ขึ้นมาได้แค่ขอบมุมเล็ก ๆ หมอก็ถามว่าจะเอาผ้าปิดตาไหม (แบบที่เปิดเหลือเป็นช่องสี่เหลี่ยมเฉพาะตรงปากเรา) เราก็ส่ายหัวสุดฤทธิ์เลย เพราะไม่ชอบนอนถูกปิดตาแล้วไม่รู้ว่าเขาทำอะไรกับเราบ้าง มันฟุ้งซ่าน ขออนุญาตเอากระจกมาส่องปากให้เห็นเหตุการณ์จะจะดีกว่า คีมเป็นคีม มีดเป็นมีด เราเลยได้ดูทุกขั้นตอน หมอก็ใจดีค่ะ รู้ว่าเราห่วงสวย กลัวหน้าบวม เลยกรีดผ่าแผลเล็กๆหน่อย แต่ทีนี้พอปากแผลเล็ก ฟันมันก็เลยดึงออกมายากหน่อยค่ะ หมอก็เอาคีมเอยอะไรเอยมางัด แคะ ล้วง พอจับดึงได้หมุนไปหมุนมาอยู่นาน เปลี่ยนมุมไปนั่งอีกข้างหนึ่ง ในที่สุดฟันก็หลุด(สักที) โชคดีที่รากฟันเรายังไม่ยาวมาก เพราะมาตรวจเจอฟันคุดเร็ว และหมอแรงเยอะ มันก็แอบเจ็บ ๆ เหมือนกันตอนถอนฟันออกไป แต่ยาชาออกฤทธิ์เยอะแล้วเลยไม่ได้ทรมานอะไร สบายกว่าที่คิดนะคะ ตรงนี้จริง ๆ ก็เป็นอุทาหรณ์สำคัญว่า ฟันคุดยิ่งทำตอนอายุน้อยยิ่งดี อย่าดองไว้ ถ้าทำตอนอายุมากจะเจ็บมาก ผลก็ข้างเคียงมาก เพราะรากฟันมันยิ่งยาวขึ้นตามอายุ (ทำตอนอายุไม่ถึง 20 เพอร์เฟ็คต์ที่สุด) การผ่าฟันคุดควรเลือกหมอเก่ง ๆ มีประสบการณ์หน่อย เพราะบางทีอาจมีปัญหาถอนยากแบบเรา หรือปัญหาเกี่ยวกับเส้นประสาท ถ้าจะให้ดี ควรเลือกเป็นหมอผู้ชายหนุ่ม เพราะหมอผู้หญิงอาจจะแรงน้อย บางทีจะถอนไม่ค่อยออก (ได้ยินว่า หมอผู้หญิงบางคนต้องให้ผู้ช่วยมาจับหัวคนไข้ล็อคไว้นิ่ง ๆ เพื่องัดด้วยสองมือ หรือให้หมอผู้ชายคอยแสตนด์บายช่วยค่ะ มันก็อาจจะทำให้พอเราเห็นรุมกันเอิกเกริกแล้วเสียขวัญอ่าเนอะ) สักพัก หมอก็ดึงเอาถุงฟัน(ส่วนที่ทำให้ฟันงอก)ออกได้ ก็ถือว่าจบสิ้นเหตุที่เราจะมีฟันคุดตรงนี้ได้อีกต่อไป เสร็จแล้วก็เอากรรไกรกับด้ายมา แล้วก็เริ่มเย็บแผล หมอเขาใช้ด้ายแบบที่ต้องกลับมาตัดค่ะ ไม่ใช่ไหมละลาย (มันแพง ฮ่า ๆ) เรียบร้อยก็กัดสำลีให้เลือดหยุด เราก็งับไว้ให้แน่นพอประมาณ เหมือนเวลาห้ามเลือดนอกร่างกายนี่แหละค่ะเพื่อน ๆ อย่ากัดแรงจนเหงือกช้ำนะคะ แล้วก็พยายามอย่าให้โดนน้ำหรือน้ำลายมากนัก อย่าบ้วนปากบ่อย เวลาน้ำลายออกก็รีบกลืนน้ำลายลงไปค่ะ เพราะของเหลวจะไปดึงให้เลือดที่กำลังแห้งนั้นไหลออกมาใหม่ (อารมณ์เหมือนรอให้แผลตกสะเก็ดน่ะ ถ้ามัวแต่ถูกน้ำ มันก็ไม่แห้งสักที) สามารถใช้น้ำแข็งห่อผ้าหรือคูลแพ็คประคบแก้มด้านนอกช่วยได้ (ถ้าเลือดไหลทะลักออกมาเป็นลิ่ม ๆ หรือผ่านไป 3 วันแล้วยังเจ็บมาก รีบโทรหาหมอนะคะ) พอกลับมาบ้าน วันแรกยังกินอะไรไม่ได้จริงๆค่ะ ยาชาเริ่มหมดฤทธิ์แล้วมันปวด ต้องใช้พาราเซตามอลเข้าช่วย เพราะเวลาขยับปากอ้าทีเหมือนแผลมันขยับไปด้วย ฮือ เจ็บ แก้มบวมตุ่ย ๆ เรากลัวอดตายเลยไปเซเว่น แล้วหอบเสบียงอาหารอ่อน เช่น ขนมปังนิ่มตัดขอบ ซุป โจ๊ก น้ำหวาน มาตุน เนื่องจากหมอให้ยามาสองอย่าง คือยาแก้ปวดกับแก้อักเสบ กินก่อนกับหลังอาหาร ดังนั้นต้องกินอะไรรองท้องบ้างนะคะ อย่ากลัวจนเอาแต่ดูดน้ำหวาน การดูแลตัวเองหลังผ่า แรกๆที่ยังเจ็บอยู่ให้กินพวกอาหารอ่อนอย่างเดียวไปก่อน เคี้ยวข้างที่ไม่ได้ผ่าเท่านั้น เราผ่าเสร็จช่วงแรกดูดน้ำหวานน้ำผลไม้ เจเล่ไลท์ กินซุปเห็ดโดยเอาขนมปังนิ่มฉีก ๆ ใส่ลงไป กลืนอย่างระมัดระวังนะ มันจะเจ็บอยู่บ้าง (คือกล้ามเนื้อตรงนั้นมันขยับดึง เวลากลืนอะไรตรงคอมันจะต้องเกร็งกระเดือกลงไปน่ะทุกคน แล้วแผลฟันคุดมันอยู่ด้านในสุดใกล้กับคอเรา เลยจำเป็นต้องเจ็บบ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้) ข้าวต้มและโจ๊กก็เป็นไอเดียที่ดีมากค่ะ แต่ระวังอย่ารีบกินตอนยังร้อน ๆ เพราะถ้าเข้าปากไปโดนแผลละก็... น้ำตาจะไหล ไม่อยากจะบรรยายความรู้สึก เราพลาดไปทีหนึ่งเข็ดเลย ฮ่า ๆ เช่นเดียวกันกับน้ำเย็นจัด ไอศกรีม โดนแผลแล้วแอบสะดุ้งค่ะ และเนื่องจากกินแต่อาหารอ่อน ๆ มันจะหิว ดังนั้นกินมากกว่าปกติหน่อย และหาขนมที่ละลายในปากได้มาบ้าง เราอมช็อกโกแลตกับขนมผิงประทังชีพไปเยอะมาก พอเริ่มเคี้ยวได้โดยเจ็บน้อยลงแล้ว ใช้มีดเข้าช่วยเลยค่ะ เรานั่งหั่นแอปเปิ้ลกับชมพูเป็นชิ้นเล็กๆ (มะม่วงดิบสุดโปรดของเรานี่ต้องหั่นบาง ๆ แทบจะเรียกว่าสับ มันแข็งเหลือหลาย) สามารถกินหมูสะเต๊ะ ไก่ย่าง หมูทอดเหนียว ที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ กับข้าวต้มได้ค่ะ ชิ้นเล็กที่ว่านี่คือ เล็กขนาดที่เวลากินเราไม่ต้องอ้าปากกว้าง (ไม่แนะนำให้ขบกัดของชิ้นใหญ่ใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะด้ายมันจะตึง และปากแผลจะแหกได้) ขอบพระคุณภาพจาก Pixabay.com โดย Bruno Glätsch เวลาแปรงฟัน สามารถแปรงได้ตามปกติแต่เบามือนิดค่ะ ระวังอย่าแปรงไปโดนปากแผลกระจุย เวลาบ้วนน้ำอาจจะเจ็บบ้าง เสร็จแล้วพยายามซับแผลให้แห้งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เวลานอน อย่านอนตะแคงข้างที่เป็นแผลลง เพราะมันจะโดนน้ำหนักหัวเราทับและเลือดไหลลงไปคั่ง พอตื่นขึ้นมานี่ระบมเลย หลังจากนั้นประมาณหนึ่งสัปดาห์ แผลเราไม่บวมและไม่เจ็บแล้ว กลืนน้ำลายก็ไม่เจ็บแต่รู้สึกได้ว่าแผลมันยังอ่อนไหวนิดๆ และก็ยังง้างปากอ้ากว้างๆไม่ได้ค่ะ เหมือนไหมที่หมอเย็บไว้มันตึง พอถึงนัดตัดไหมก็หาย การตัดไหมใช้เวลาแค่ 3 นาทีเท่านั้นค่ะ ก็ถือว่าจบไปอย่างดีสำหรับฟันคุดของเรา ทั้งนี้ มันแล้วแต่ฟันของคน ฝีมือหมอ และช่วงอายุที่ไปทำด้วย ราคาค่าผ่าตัดก็ต่างกันเพราะความยากของเคส (ของเราอยู่ที่ประมาณ 3,000 กว่าบาท) แค่อยากเล่าเป็นแนวทางว่าต้องเตรียมตัวระวังอะไรบ้าง อย่างไรถ้าเลือกไปทำช่วงที่ไม่มีงานแบบต้องพูดอะไรกับผู้คนจะดีมาก หรือถ้าเป็นนักเรียนนักศึกษาก็แนะนำรีบไปทำช่วงปิดเทอมค่ะ ขอให้เพื่อน ๆ ทุกคนมีสุขภาพช่องปากที่ดีนะคะ